tour-myanmar-myitkyina

ทัวร์มิตจีนา

Day 1 : Bangkok – Mandalay – Putao

07.50 น.
พบกันที่สนามบินสุวรรณภูมิเคาน์เตอร์สายการบิน Thaismile เที่ยวบิน WE309 กรุงเทพฯ มัณฑะเลย์เวลา 09.55 น.

11.20 น.
เดินทางถึงมัณฑะเลย์ (เวลาช้ากว่าไทย 30 นาที) ผ่านการตรวจคนเข้าเมือง รับกระเป๋า แลกเงิน

จากนั้นต่อเครื่องโดยสายการบิน Golden Myanmar Airlines เที่ยวบินที่ Y5505 (13.30-15.40 น.) แวะส่งผู้โดยสารที่มิตจิน่า

เดินเล่นรอบๆเมืองปูตาโอ มีตลาดกลางเมือง ขายอาหารสด และพืชพรรณ รวมถึงงานหัตถกรรมพื้นบ้านมากมาย

พักที่ Putao

Day 2 : Putao – Trekking 

นำท่านเดินทางสู่หมู่บ้านน้ำคา (Nam Kham) เดินชมหมู่บ้านไปตามแม่น้ำมะลิข่า(Malikha) ซึ่งเป็นลำน้ำต้นกำเนิดของแม่น้ำอิรวดี มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม ลำน้ำใสแจ๋วสงบนิ่ง สะท้อนฟ้าและป่าโดยรอบรวมถึงเทือกเขา Namhti ที่ยอดปกคลุมด้วยหิมะตั้งตระหง่านเป็นฉากหลัง หมู่บ้านนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยผลไม้ ไม่ว่าจะเป็น ส้ม องุ่น แอปเปิ้ล ส้มโอ ฯลฯ

นำท่าน นั่งเรือหางยาวล่องแม่น้ำมะลิข่า เมืองมาชันเบา (Machanbaw) เส้นทางที่เรือวิ่งผ่านนั้นขนาบข้างด้วยภูเขาสูงและป่าทืบ รวมถึงผ่านไปยังแก่งต่างๆ ที่สร้างความตื่นเต้นไม่น้อย ไปสิ้นสุดที่เจดีย์ขาวบนหินกลางน้ำความน่าสนใจอยู่ที่ประติมากรรมธรรมชาติบนเกาะหินที่เกิดจากพลังของสายน้ำกัดเซาะหินจนเกิดความโค้งเว้าที่งดงามแปลกตายิ่งนัก พร้อมสัมผัสวิถีชีวิตชาวบ้านที่พายเรือไม้ลำยาวไปตามลำน้ำหาปลาอย่างชำนาญแสดงถึงความช่ำชองกับการใช้ชีวิตริมน้ำได้เป็นอย่างดีสมควรแก่เวลา นำท่านเดินทางกลับสู่ปูตาโอ

พักที่ Putao 

Day 3 : Putao – Myitkyina – Indawgyi Lake

นำท่านเดินทางไปยังสนามบินภายในประเทศ เพื่อเดินทางไปยังเมืองมิตจินา โดยสายการบิน Myanmar National Airlines เที่ยวบินที่ UB616 (11.35-12.15 น.)

ออกเดินทางไปยัง Indawgyi Lake (ประมาณ 3.5 ชม.) ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในพม่า มีขนาด 13 กิโลเมตรจากตะวันออกไปตะวันตกและ 24 กิโลเมตรจากเหนือจรดใต้ รอบหมู่บ้านมีทะเลสาบกว่า 20 หมู่บ้าน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทะเลสาบ Indawgyi ได้รับการก่อตั้งขึ้นในปี 1999 และครอบคลุมพื้นที่ 72,500 เฮคตาร์ของทะเลสาบและป่าไม้

พักที่ Indawgyi

Day 4 : Indawgyi Lake – Myitkyina (B/L/D)

นั่งเรือชมบรรยากาศโดยรอบของทะเลสาบอินดอจี เยี่ยมชมชุมชนที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบ ชมหมู่บ้าน Nat Mi Lone Village bamboo cane Buddha image, Lwe Mon Village

ล่องเรือชมสถานที่เที่ยวและหมู่บ้านต่างๆ เช่น Yale Pagoda , Shwe Myint Zu Pagoda เป็นหนึ่งในเจดีย์ที่มีชื่อเสียงในพม่า ตั้งอยู่ในทะเลสาบกลางภูมิภาคอินดากีเมือง Moe Hnyin รัฐคะฉิ่น ทะเลสาบอินดากียังเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นแหล่งกักเก็บน้ำจืดที่อุดมสมบูรณ์ไม่เพียงแต่ในพม่าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเอเชียกลางตะวันออกเฉียงใต้ด้วย

จากนั้นเดินทางกลับเมือง Myitkyina

พักที่ Myitkyina

Day 5 : Myitkyina – Yangon – Bangkok

หลังอาหารเช้าชมตลาดเช้าแห่งเมือง มิตจิน่า จากนั้นเยี่ยมชมวัดซูตองปเยเซดีดอ (Hsu Taung Pye Zedidaw) หนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของมิตจีนาเป็นเจดีย์ที่เชื่อกันว่าปรารถนาสิ่งใดจะได้ตามหวัง และยังเป็นเจดีย์ที่เด่นสะดุดตาที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง ตั้งอยู่บนฝั่งของแม่น้ำอิรวดีที่

ตรงข้ามกับเจดีย์มีพระพุทธไสยาสน์ยาว 98 ฟุต ที่สร้างโดยทุนจากญี่ปุ่นเพื่อระลึกถึงทหารที่เสียชีวิตไป 3400 คน ในยุคสงครามโลกครั้งที่2

ชมวัดฮินดู Sri Saraswati Temple ริมฝั่งแม่น้ำอิรวดี อาคารสีทองเด่นสง่า ด้านในเป็นรูปเคารพเทพแห่งฮินดูและยังมีภาพวาดจิตรกรรมสีสันสดใส

เดินทางไปยังสนามบินเพื่อเดินทางกลับย่างกุ้งโดยสายการบิน Myanmar National Airlines เที่ยวบินที่ UB602 (17.10-19.30 น.)

เตรียมตัวเชคอินสายการบิน Air Asia เที่ยวบินที่ FD258 เวลา 21.40 น.

23.30 น.
เดินทางถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ พร้อมความประทับใจ

โปรแกรมอื่นๆ >> https://www.painaima.com/tag/myanmar/

ดูรูปภาพสวยๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่ >> https://500px.com/search?q=myitkyina&type=photos&sort=relevance

tour-myanmar-mrauku-sittwe

ทัวร์มรัคอู

DAY 1 : Bangkok – Yangon – Sittwe – Mrauk U

05.00 น.
นัดพบกันโดยพร้อมเพรียงที่สนามบินดอนเมือง เพื่อเช็คอินสายการบิน Air Asia เที่ยวบิน FD251 เที่ยวบินเวลา 07.30-08.15 น. เหินฟ้าสู่เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า จากนั้นรอเวลาต่อเครื่องโดยสารเครื่องบินภายในประเทศเพื่อเดินทางสู่เมืองซิตตเว โดยสายการบิน Myanmar Airways International เที่ยวบิน 8M4426 เที่ยวบินเวลา 10.30 น.

11.50 น.
เดินทางถึง เมืองซิตตเว สำเนียงพม่าจะออกเสียงเป็น ซิตตุ่ย เมืองเอกของรัฐยะไข่ เคยเป็นเมืองชายทะเลที่สวยที่สุดของอ่าวเบงกอล ปัจจุบันยังคงเหลือร่องรอยสิ่งก่อสร้างของเมืองท่าอาณานิคม และเต็มไปด้วยกลิ่นอายบรรยากาศวัฒนธรรมชาวยะไข่ซึ่งแตกต่างไปจากชาวพม่า โดยชาวยะไข่จะบอกว่า เขาเป็นชาวยะไข่ ไม่ใช่ ชาวพม่า

จากนั้นเดินทางด้วยรถสู่เมืองมรัคอู แวะนมัสการพระ Mahamuni Kyauk-Taw Mahamuni ซึ่งเป็นวัดพุทธที่มีชื่อเสียงและสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของชาวยะไข่

พักที่ Mrauk U ซิตตเว

DAY 2 : Chin Village

นำท่านเดินทางสู่ ท่าเรือเพื่อเดินทางไปยังหมู่บ้านชิน ซึ่งเป็นหมู่บ้านของชนเผ่าหนึ่งในเมืองมรัคอูที่ยังคงมีวิถีชีวิตแบบโบราณกันอยู่ หมู่บ้านนี้ยังไม่มีน้ำประปาและไฟฟ้าใช้กัน สร้างบ้านอยู่ในกระท่อมหลังเล็กๆ และใช้แพไม้ไผ่เป็นยานพาหนะเอกลักษณ์ของหญิงชาวชิน คือจะสักหน้าเป็นลายเหมือนใยแมงมุม และเจาะหูกว้าง ซึ่งในปัจจุบันก็นับว่าจะลดน้อยถอยลงทุกที หญิงที่สักอยู่ก็มีอายุกัน 60 กว่าขึ้นไปแล้ว และต่างจะล้มหายตายจาก เด็กยุคใหม่ไม่ได้ถ่ายทอด ดังนั้นต้องรีบไปดู

ชมพระอาทิตย์ตกที่เนินเขา Shwe-Taung จากนั้นพาพักผ่อนที่โรงแรม

พักที่ Palace hotel หรือเทียบเท่า

DAY 3 : Mrauk u

ชมตลาดเช้าในเมืองมรัคอู ชมวิถีชีวิตและเลือกซื้อของพื้นเมืองของผู้คนในราชอาณาจักรยะไข่โบราณ

Htukkant Thein Temple วัดที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองมรัคอู ถูกออกให้ใช้งานเป็นทั้งวัดและป้อมปราการด้วย นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าวัดแห่งนี้อาจจะใช้เป็นที่หลบภัยของชาวพุทธในยามศึกสงคราม ใจกลางของวัดเป็นโดมรูปเห็ดรายรอบด้วยสถูปเล็กๆทั้ง 4 ภายในมีพระพุทธรูปทั้งหมด 180 องค์ ชม

ชม วัดโกตองพญา หรือ วัดพระเก้าหมื่น เป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในเมืองมรัคอู ตั้งโดดเด่นอยู่กลางทุ่งนา บางคนใคร่คิดไปถึง บุโรพุทโธ ที่อินโดนีเซีย มีเจดีย์ องค์เล็กๆตั้งอยู่รอบๆเจดีย์ที่อยู่ตรงกลาง ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปแกะสลัก 90,000 องค์ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อวัดนั่นเอง

Lay Myet Hna Temple เจดีย์สี่หน้า สร้างโดยหินทรายรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตรงกลางเป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำขนาดใหญ่ ยอดเป็นรูปทรงเห็ดและรายล้อมด้วยเจดีย์รองทั้งสี่มุม ภายในมีฐานเจดีย์ขนาดใหญ่รูปทรงแปดเหลี่ยม มีพระพุทธรูป 8 องค์ ประดิษฐานอยู่และผนังชั้นนอกตรงกันข้ามกันน้ำมีพระพุทธรูปอีก 20 องค์รวมกันทั้งสิ้นเป็น 28 แทนความหมายของพระพุทธเจ้าทั้ง 28 พระองค์ตามคัมภีร์พระไตรปิฎก

วัดซิตตองพญา หรือ วัดพระแปดหมื่น เป็นวัดที่มีระเบียงคดคล้ายอุโมงค์ประดับด้วยรูปจิตรกรรมนูนสูงเกี่ยวกับพุทธชาดก และภายในวิหารมีการแกะสลักพระพุทธรูป 80,000 องค์ สร้างขึ้นโดยกษัตริย์มินปินเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองชัยชนะที่มีต่อชาวเบงกอล

ชม วัดทุกขันธ์เทียน สร้างขึ้นในปีพ.ศ.2113 ภายในวัดมีภาพแกะสลักผู้หญิงชาวยะไข่โบราณซึ่งมีทรงผมแตกต่างกันถึง 64 แบบ กำลังบูชาพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ตามช่องผนัง วัดอันดอว์เทียน เป็นวัดที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วของพระพุทธเจ้าที่กษัตริย์มินบินนำมาจากศรีลังกา

ชม Ratana ManAung เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์มีลักษณะสัณฐานเป็นรูปแปดเหลี่ยม ที่ได้รับการเคารพมากที่สุด วัดถูกสร้างขึ้นเพื่อแสดงความเคารพต่อรัตนทั้งสามแห่งพุทธศาสนาคือพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ Pitakataik สร้างโดยกษัตริย์ Meng Phalaung ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่มีชื่อเสียงองค์หนึ่งของเมืองมรัคอู ภายในประดิษฐานประไตรปิฏกที่ได้รับมาจากศรีลังกา

ชมเจดีย์ศากยะมนัง สร้างขึ้นในปี 1629 สูง 35 เมตร เป็นเจดีย์ย่อมุมที่ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะพม่าและไทใหญ่ และเจดีย์ Ratanamanaung เป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปที่ทำจากหิน สักการะพระพุทธรูป Nan-Oo และ เจดีย์ Mingalamanaung

ชม เจดีย์ Lawka manaung สร้างขึ้นเมื่อปี 1658 เป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำ มีเฉลียงทั้งหมดสี่ชั้น ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปหิน โดยรอบตบแต่งด้วยประติมากรรมหินในรูปแบบต่างๆ และสักการะพระพุทธรูป Parabaw เป็นพระพุทธรูปที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำเมื่อกว่า 1276 ปีมาแล้ว

ท้ายวันด้วยการขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกที่เนินเขา Harritaung

พักที่ Palace hotel หรือเทียบเท่า ซิตตเว

DAY 4 : Mruak U – Sittwe – Yangon – Bangkok

เดินทางกลับสู่เมืองซิตตุ่ยด้วยเรือเร็ว ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ระหว่างทางที่ล่องเรือ เราจะได้เก็บบรรยากาศสองฝั่งแม่น้ำ จะได้เห็นวิถีชีวิตพื้นบ้าน ของชาวประมงท้องถิ่นที่กางเรือใบด้วยผ้าโสร่ง ตามแบบฉบับของชาวยะไข่ท้องถิ่น

เดินชมเมือง Sittwe เดินเล่นตลาดพื้นเมืองยะไข่ ตลาดนี้เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด มีอาหารทะเล อาหารพื้นบ้านและสินค้าพื้นเมืองหลากหลายชนิด อาหารทะเลที่นี่ราคาถูกมากๆ

จากนั้น เดินทางไปสนามบินเพื่อโดยสารเครื่องบินภายในประเทศ สายการบิน Myanmar National Airlines* เที่ยวบินที่ UB412 (16.55-17.50 น.)

*สายการบินอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้

ต่อเครื่องเพื่อเดินทางกลับสู่กรุงเทพ โดยสายการบิน Air Asia เที่ยวบินที่ FD257 เวลา 20.30 น.

21.10 น.
เดินทางถึงกรุงเทพมหานคร โดยสวัสดิภาพ

โปรแกรมอื่นๆ >> https://www.painaima.com/tag/myanmar/

ดูรูปภาพสวยๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่ >> https://500px.com/search?q=Mrauk+U&type=photos&sort=relevance

tour-ireland-roadtrip

ทัวร์ไอร์แลนด์

Day 1 : Bangkok

22.00 น. พบกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ ประตู 4 แถว H/J เคาน์เตอร์สายการบิน Thai Airways มีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกให้แก่ท่าน

Day 2 : London – Belfast – City tour

00.55 น. ออกเดินทางสู่ London โดยสายการบิน Thai Airways เที่ยวบินที่ TG910

07.15 น.
เดินทางถึงลอนดอน จากนั้นเดินทางต่อสู่เมือง Belfast City โดยสายการบิน Aer Lingus Airlines เที่ยวบินที่ EI931 (11.05-12.25 น.)

12.25 น.
เดินทางถึงสนามบิน Belfast City ไอร์แลนด์เหนือ ผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมือง จากนั้นนำท่านเดินทางไปพักผ่อนที่โรงแรม

นำท่านเดินทางไปยังเมือง Belfast เมืองแห่งท่าเรือ เก็บภาพกับไฮไลท์กับ Titanic Museum เรื่องราวโศกนาฏกรรมอันก้องโลกภายในมีการนำเสนอเรื่องราวของเมืองเบลฟาสต์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมไปถึงความเป็นจิตวิญญาณแห่งแรงงาน การท่า และการต่อเรือ โดยสร้างความภูมิใจสูงสุดแห่งยุคให้กับเมืองๆนี้ ด้วยการสร้างเรือที่ไม่มีวันจมอย่าง “ไททานิก” ชม The Big Fish เป็นรูปปั้นปลาที่ปิดด้วย Ceramic Mosaic

พาท่านไปเดินเล่นย่าน St. George Market มีสินค้าหลากหลายทั้งงานฝีมือ อาหาร เครื่องดื่ม ร้านบูติก ฯลฯ จากนั้นชม Belfast City Hall ศาลาว่าการเมืองเรียนรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ของที่นี่

เดินไปชม Belfast Cathedral กันต่อ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1899 แต่มาสิ้นสุดที่ปี 1981 ในด้านทิศใต้ของโบสถ์เป็นหลุมฝังศพของวีรบุรุษสหภาพแรงงาน Sir Edward Carson โบสถ์นี้มีแก้วสีโมเสคประมาณ 150,000 ชิ้น

เดินชมกำแพงสันติภาพ Peace Wall เริ่มก่อสร้างกำแพงสันติภาพแห่งแรกขึ้นในช่วงต้นทศวรรษที่ 1970 อันเป็นช่วงแรกที่ได้เริ่มมีเหตุรุนแรงระหว่างกองกำลังประชาชนฝ่ายโปรเตสแตนต์กับฝ่ายคาทอลิกที่ได้รับขนานนามว่า The Trobles ในระยะแรกมีไม่กี่กำแพงแล้วเพิ่มเป็น 18 กำแพงในทศวรรษที่ 1990 และเพิ่มจำนวนต่อมาอย่างรวดเร็ว ส่วนประกอบของกำแพงมีทั้งอิฐ เหล็ก และเหล็กกล้า บางแห่งยังมีตาข่ายเหล็กหรือลวดหนามเสริมขึ้นไปเหนือขอบกำแพงอีกด้วย

เก็บภาพกับไฮไลท์ของชนบทกับ The Dark Hedges หรือ อุโมงค์ต้นบีชอายุราว 200 ปี

จากนั้นชม Carrick-a-Rede Rope Bridge หรือสะพานเชือก เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เป็นจุดชมวิวชายฝั่งทะเลได้เป็นอย่างดี ซึ่งแต่เดิมนั้นชาวประมงได้สร้างสะพานเชือกแห่งนี้เพื่อใช้เป็นทางข้ามช่องแคบที่มีความลึกประมาณ 30 เมตร และมีความกว้างประมาณ 20 เมตร ไปยังเกาะคาร์ ริก-อะ-รีด (Carrick a-Rede Island) เพื่อตรวจดูแหดักปลาแซลมอนเท่านั้น ในปัจจุบันสะพานเชือก คาร์ริก-อะ-รีด ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสำคัญ ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้หลั่งไหลมาที่นี่เพื่อประลองความกล้าในการข้ามสะพานแห่งมากถึง 247,000 คนต่อปี และในปัจจุบันสะพานได้เปิดให้บริการตลอดทั้งปีอีกด้วย

ชม Giant’s Causeway ซึ่งเป็นหินทรงหกเหลี่ยมที่เรียงตัวกันราวแท่งดินสอ ไม่น่าเชื่อว่านี่จะเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติล้วนๆ ตั้งอยู่ที่เกาะไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งจัดอยู่ใน 1 ใน 100 สถานที่ที่สวยที่สุดในโลกอีกด้วย Giant’s Causeway นั้นประกอบด้วยเสาหินบะซอลต์กว่า 40,000 แท่ง ขนาดเสากว้างเฉลี่ย 46 ซม. สูงประมาณ 1-2 ม. เกิดจากการเย็นตัวลงของลาวาเมื่อประมาณ 50,000 – 60,000 ปีที่แล้ว

เมือง Portrush ชม Dunluce Castle ซึ่งเป็นปราสาทยุคกลาง ตอนนี้จะเห็นแค่ปรักหักพัง ตั้งอยู่บนขอบของหินบะซอลต์ ใน County Artrim

คืนนี้เราจะพักกันที่ Bushmills

Day 3 : Bushmills – Londonderry – Sligo

ชมชายหาด Downhill Beach ซึ่งยาวกว่า 11 กิโลเมตรนี้นั้นเป็นที่รู้จักในฐานะที่ตั้งของวัด The Mussenden Temple ทั้งชายหาด และภายนอกของวัดนั้นถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำของ Dragonstone ซึ่งเป็นสถานที่ที่ Stannis Braratheon ดึงดาบ Lightbringer ออกมา และทาง Melisandre ก็ได้ประกาศว่า Stannis คือ Azhor Ahai (ฮีโร่ที่ตีดาบ Lightbringer ขึ้นมา) กลับชาติมาเกิด

เดินชมโบสถ์ St. Columb Cathedral และ เสา War Memorial tower

นำท่านไปยังเมือง Londonderry ชม The Guildhall ตั้งอยู่ใจกลางเมือง Derry ในเขต Northern Ireland, UK ห่างจากพรมแดน Republic of Ireland บริเวณ Co. Donegal เพียงประมาณ 7 กม. The Guildhall ตั้งอยู่บริเวณริมเขตกำแพงเมืองเก่า อาคารหินทรายสีแดงสไตล์นีโอโกธิคและทิวดอร์ (Tudor) นี้ ถูกสร้างขึ้นในปี 1887 โดยกลุ่ม The Honorable The Irish Society เพื่อเป็นที่ใช้การของเมือง The Guildhall ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามของสถาปัตยกรรมและการตกแต่งด้วยกระจกสีสวยงาม ช่วงปี 2012 – 2013 อาคารได้ถูกปิดลงเพื่อทำการบูรณะทั้งภายในและภายนอก

ชมบริเวณ Mullaghmore Head เห็นหาดลักษณะเป็นหินแผ่นใหญ่เอียงรับคลื่นจากมหาสมุทรแอตแลนติก โดยมีฉากหลังเป็น Benbulben Mountain เห็นอยู่ไกลๆ

นำท่านไปยังเมือง Sligo ชม Benbulben Mountain อยู่ทางทิศเหนือของ Sligo Town โดยห่างออกมาประมาณ 16 กม. เป็นภูเขาที่โดดเด่นที่สุดของไอร์แลนด์ บางครั้งถูกเรียกว่า Table Mountain เนื่องจากมียอดเรียบแบนและด้านข้างตัดตรงลักษณะคล้ายโต๊ะ ด้านบนของภูเขามีลักษณะเฉพาะคือมีลักษณะเป็นร่องคลื่นที่ถูกกัด เซาะของหินปูนและหินดินดานคล้ายกลีบของผ้าปูโต๊ะ ระหว่างทาง ชม Killary fjord

Kylemore Abbey Kylemore Abbey ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันสวยงามของ Connemara บริเวณริมทะเลสาบ Pollacapall และทะเลสาบ Kylemore ตัวปราสาทถูกสร้างขึ้นในปี 1867-1871 โดย Mitchell และ Margaret Henry คู่สามีภรรยาจากManchester ที่มาท่องเที่ยวฮันนีมูนที่นี่ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ Connemara เป็นจุดหมายที่นิยมในการมาล่าสัตว์และตกปลา Mitchell และ Margaret หลงใหลในทัศนียภาพอันงดงามของ Connemara และปรารถนาจะมีบ้านที่นี่ ในช่วงการฮันนีมูนทั้งสองได้เช่า Kylemore Lodge เป็นที่พัก ซึ่งอาคารดั้งเดิมอยู่จุดเดียวกับที่เป็นปราสาท ณ ปัจจุบัน

คืนนี้พักที่ เมือง Sligo

Day 4 : Clifden – Galway – Doolin

ชม Galway Cathedral ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ Corrib ใจกลางเมือง Galway ถูกสร้างขึ้นในช่วงปลายของยุค 1950 โดยนับเป็นมหาวิหารที่สร้างจากหินที่ใหม่ที่สุดของยุโรปสร้างแล้วเสร็จและถูกเปิดใช้งานในปี 1965 ถูกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้ Our Lady Assumed into Heaven และ St. Nicholas ออกแบบโดยJ.J.Robinsonในแบบผสมผสานกันของศิลปะ Renaissance, Romanesque และ GothicGalway Cathedral มีชื่อเสียงเรื่องศิลปะการตกแต่งภายในของมหาวิหาร เช่น รูปปั้น โมเสคและกระจกสีต่างๆ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเมือง Galway

ปราสาท Dunguaire Castle ซึ่งอยู่บริเวณหมู่บ้าน Kinvara บริเวณทิศใต้ของ Co. Galway ปราสาทถูกสร้างขึ้นในปี 1520 โดยตระกูล O’Hynes บนแนวหินริมอ่าว Galway ที่มีทัศนียภาพที่งดงาม ปราสาทแบบ Tower House นี้ได้ถูกซื้อขายเปลี่ยนมือไปตามกาลเวลาจนถึงปี 1924 ปราสาทได้ถูกซื้อโดย Oliver St. John Gogarty หมอผ่าตัดและนักเขียนผู้โด่งดัง ในช่วงเวลานี้เป็นช่วงฟื้นฟูของวรรณกรรมไอริช ต่อมาในปี 1954 ปราสาทถูกเปลี่ยนมือเป็นของ Christobel Lady Amptill ผู้ซึ่งซ่อมแซมปราสาทต่อจาก Oliver St. John Gogarty จนเสร็จสมบูรณ์ ภายหลังปราสาทได้ตกเป็นทรัพย์สินของ Shannon Development

ชมหมู่บ้านชาวประมง Kinvara ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่สวยงามแปลกตา และขึ้นชื่อในเรื่องเพลงไอริช หมู่บ้านชาวประมงอันเงียบสงบนี้มีชายหาดที่มีหินขรุขระ และมีปราสาทยุคกลางที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่ สามารถมองเห็นทัศนียภาพที่น่าทึ่งของอ่าว Galway และทุ่งหญ้าเขียวขจีในชนบท ในหมู่บ้านนี้มีอาคารเก่าแก่ที่แปลกตา ทำให้ดูมีเสน่ห์

จากนั้นนำท่านไปยัง The Burren National Park ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของThe Burren หมายถึงสถานที่ที่เป็นหิน สถานที่นี้เป็นที่รวบรวมและแสดงพันธุ์ไม้ หิน และสิ่งมีชีวิตต่างๆที่อาศัยอยู่ใน The Burren

เยี่ยมชมหอคอย O’Brien’s Tower พร้อมชมวิดีโอแบบ Interactive ที่ Visitor’s Center และเดินเล่นบนคลิฟบอร์ดโดยชมทัศนียภาพอันงดงามของทะเลและหมู่เกาะอารัน

Clift of Moher หน้าผาที่ตั้งตระหง่านริมมหาสมุทรแอตแลนติกอายุกว่า 350 ล้านปี เป็นสถานที่ที่ได้รับการโหวตว่าเป็นที่เที่ยวที่น่าสนใจที่สุดใน ไอร์แลนด์ เป็นที่อาศัยของสัตว์ป่ารวมถึงพันธุ์ไม้แปลกๆ และยังได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกอีกด้วย

คืนนี้เราจะพักกันที่ Doolin

Day 5 : Doolin – Dingle

ชม Adare Desmond Castle ปราสาทที่เป็นป้อมปราการ เชื่อกันว่าถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 โดย O’Donovans ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวจะพลาดไม่ได้เมื่อมาเยือนไอร์แลนด์

Limerick City เมืองริมฝั่งแม่น้ำแชนนอน เมืองนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองแห่งวัฒนธรรม (City of Culture) และมีชื่อเสียงในฐานะสวรรค์ของคนที่หลงใหลด้านศิลปะ

ชม Ballydavid หมู่บ้านพื้นเมืองบริเวณคาบสมุทร Dingle ในปี ค.ศ. 2003 ได้ยกเลิกชื่อภาษาอังกฤษและใช้ชื่อในภาษาไอริชเป็นทางการคือ Baile na nGall ใกล้ๆกันนั้นมี ปราสาท Gallarus (Gallarus Castle) สร้างโดยอัศวินแห่ง Kerry ผู้สืบทอดราชวงศ์ Geraldine ในศตวรรษที่ 15 ปัจจุบันยังเป็นมรดกของชาวไอริชอีกด้วย

ชม King John’s Castle ตั้งอยู่ใจกลางเมือง Limerrick ถือเป็นสัญลักษณ์ของเมือง ช่วงหนึ่ง ปราสาทถูกใช้เป็นฐานทัพและศูนย์บัญชาการทางทหารสำหรับภูมิภาค Shannon ในปี ค.ศ. 1642 กลุ่มกบฏชาวไอริชที่ต่อต้านการปกครองของอังกฤษได้ทำลายปราสาทลง ปัจจุบัน King John’s Castle ได้รับการบูรณะและเปิดให้เข้าชมนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และโบราณวัตถุต่างๆตลอดปี

จากนั้นเดินทางไปยัง Slea Head จุดที่อยู่ทางตะวันตกสุดของ Dingle Peninsula โดยเส้นทางสู่ Slea Head เป็นเส้นทางที่น่าตื่นตาตื่นใจ มีจุด Landmark สำคัญหลายๆจุด แวะถ่ายรูปที่แหลม Dunmore Head และ Dunquin

ชม Ballyferriter หมู่บ้านพื้นเมืองที่ประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาไอริช ชื่อหมู่บ้านตั้งตามชื่อของชาวนอร์แมนคนหนึ่งคือ Piaras Feiritéar ถือได้ว่าเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ในศตวรรษที่ 17 เขาถูกสังหารโดยใครคนหนึ่งที่ไม่ทราบชื่อ จากนั้นเลยเป็นที่มาของชื่อหมู่บ้าน และยังใช้เรียกกันแค่ในพื้นที่อีกด้วย

ชมเมือง Dingle เมืองเล็กๆในเขต Dingle peninsula มีเส้นทางเลียบชายฝั่ง จะพบกับวัดเก่าแก่ และซากปรักหักพัง และโบสถ์โบราณ

คืนนี้เราจะพักกันที่ Dingle

Day 6 : Dingle – Ring of kerry

จากนั้นเดินทางไปยังเมือง Killarney เมืองที่สวยที่สุดในไอร์แลนด์และเต็มไปด้วยชีวิตชีวา

จากนั้นเดินทางไปยัง Waterville หมู่บ้านเล็กๆน่ารัก เป็นหมู่บ้านที่ชาร์ลี แชปลิน (Chalis Chaplin) นักแสดงตลกที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกชอบมาพักผ่อนตากอากาศ

เมือง Caherdaniel เมืองที่ตั้งอยู่บริเวณริมชายฝั่งของ Derrynane Bay เมืองแห่งนี้ยังเป็นที่ที่ Daniel O’Connell ใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายด้วย ผ่านชม หมู่บ้าน Sneem หมู่บ้านที่มีสีสันสดใสเหมือนลูกกวาดหลากสีอยู่รวมกัน เมือง Kenmare เมืองเล็กๆที่มีชื่อหมายถึง “หัวของทะเล” หรือก็คือ Killarney Bay ขับผ่านเส้นทาง Moll’Gap ถนนสาย N71 ที่เชื่อมระหว่างเมือง Kenmare กับเมือง Killarney นั่นเอง

เดินทางไปยัง จุดชมวิว Ladies View อยู่กึ่งกลางของ Ring of Kerry หัวใจของอุทยานแห่งนี้เลยก็ว่าได้ เหตุที่ได้ชื่อว่า Ladies View นั้น เป็นเพราะพระราชินีวิคตอเรียแห่งอังกฤษได้เคยมาชมวิวที่จุดนี้นั่นเอง

อุทยานแห่งชาติคิลลาร์นีย์ (Killarney National Park) อุทยานที่เต็มไปด้วยป่าไม้ เทือกเขา ทะเลสาบ มีพื้นที่ครอบคลุมกว่า 10,236 เฮกเตอร์
(ประมาณ 102.36 ตร.กม.) และยังเป็นพื้นที่เพียงแห่งเดียวของประเทศไอร์แลนด์ที่ยังมีกวางแดงท้องถิ่นอาศัยอยู่

จากนั้นนำท่านไปยัง ปราสาทรอสส์ (Ross Castle) ในเขตอุทยานแห่งชาติคิลลาร์นีย์ปราสาทที่ทำการบูรณะจนสามารถขึ้นชมได้ทุกชั้น เว้นเสียแต่แค่ไม่มีหลังคาเท่านั้นเอง ปราสาทรอสส์ เป็นปราสาทในสมัยศตวรรษที่ 15 เป็นบ้านของบรรพบุรุษครอบครัว O’Donoghue clan

ชม โบสถ์แดเนียลโอคอร์เนล (Daniel O’Connell Memorial Church) โบสถ์ประจำเมือง สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1875 เพื่อเป็นเกียรติแก่ Daniel O’Connell ผู้นำการปลดแอคคาทอลิก มีสถาปัตยกรรมแบบโกธิคยุคกลาง

คืนนี้เราจะพักกันที่ Portmagee

Day 7 : Skellig Michael – Killarney

นั่งเรือชมเกาะ Skellig Michael** หากใครเป็นแฟนภาพยนตร์เรื่อง Star Wars ก็คงจะคุ้นกันไม่ใช่น้อย เพราะเกาะแห่งนี้ถูกใช้ถ่ายทำเป็นดาว Arch-To ที่ซ่อนตัวของลุค สกายวอคเกอร์นั่นเอง ปัจจุบันบนเกาะไม่มีคนอาศัยแล้ว แต่ในอดีตนั้นเชื่อว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวคริสเตียนในช่วงศตวรรษที่ 6 มีสิ่งปลูกสร้างที่ทำให้เชื่อได้ว่าเป็นแหล่งชุมชนเล็กๆ อยู่สูงขึ้นไปบนภูเขา ต้องเดินขึ้นบันไดหินถึง 600 ขั้น เกาะแห่งนี้ยังได้รับการขึ้นทะเบียน UNESCO อีกด้วย

*ขึ้นกับสภาพอากาศ หากลมแรงเรืออาจยกเลิกได้

คืนนี้เราจะพักกันที่เมือง Killarney

Day 8 : Killarney – Cobh

นำท่านเที่ยวชม St. Mary’s Cathedral โบสถ์เก่าแก่ ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 สร้างในพื้นที่ของกษัตริย์ Donal Mor O’Brien กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์มันสเตอร์

จากนั้นนำท่านไปชม ปราสาทบลาร์นีย์ (Blarney Castle) ปราสาทหินที่ถูกสร้างโดย Cormac McCarthy กษัตริย์แห่งมันสเตอร์ในสมัยนั้น ที่ปราสาทแห่งนี้มีความเชื่อกันว่า ใครก็ตามที่ได้จูบหิน Blarney แล้วนั้น จะพูดจาฉะฉาน เป็นเจ้าแห่งการเจรจา เช่นเดียวกับ Cormac McCarthy ที่ครั้งหนึ่ง พระราชินีอลิซาเบธที่หนึ่ง ได้ส่งขุนนางไปเจรจากับ Cormac McCarthy เพื่อที่จะครอบครองปราสาท แต่พระองค์ก็มีวิธีเจรจา ปฏิเสธให้พระนางได้คล้อยตามทุกครั้งไป จนพระนางเรียกวิธีการพูดนั้นว่า “ วิธีแบบ Blarney ”

ปราสาทแบล็คร็อค (Blackrock Castle) ปราสาทที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันการรุกรานจากศัตรู หลังจากในยุคที่กษัตริย์อังกฤษส่งผู้แทนมายึดครองบริเวณนี้ ก็ได้คืนปราสาทให้ชาวเมืองในปี ค.ศ. 1608

จากนั้นเดินทางไปยัง เมือง Cobh นำท่านชม มหาวิหารเซนท์โคลมาน (St. Colman’s Cathedral) หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อโบสถ์แห่งโคฟ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1868 สไตล์กอธิค สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของมหาวิหารแห่งนี้คือกระดิ่งที่ประดับรอบทั้ง 49 ใบ

พักกันที่เมือง Cobh ทัวร์ไอร์แลนด์

Day 9 : Cobh – Dublin

ร็อค ออฟ คาเชล (Rock of Cashel) หนึ่งในโบราณสถานที่สำคัญของไอร์แลนด์ เคยเป็นที่ประทับของกษัตริย์แห่งมันสเตอร์ จนในปี ค.ศ. 1101 Muirchertach Ua Briain กษัตริย์แห่งมันสเตอร์ก็ได้บริจาคโบสถ์แห่งนี้ให้กับคริสตจักร

จากนั้นนำท่านไปยัง Thomastown เมืองในเขต Kilkenny ชม โบสถ์เจอร์พอยต์ (Jerpoint Abbey) ศาสนสถานที่สวยที่สุดในไอร์แลนด์ แต่เดิมเป็นที่พำนักอาศัยของพระกลุ่มคริสเตียน

นำชม โบสถ์เซนท์คานิซ (St.Canice’s Cathedral) ศาสนสถานสำคัญในเมืองคิลเคนนีย์ สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 ด้านข้างเป็นหอคอยทรงกลม สูงประมาณ 30 เมตร สามารถปีนเข้าไปด้านใน(ค่าเข้าชม 3 ยูโร) เป็นโบสถ์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองมาจากโบสถ์เซนท์แพททริคในเมืองดับลิน

ปราสาทคิลเคนนีย์ (Kilkenny Castle) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1195 ตั้งอยู่บนจุดยุทธศาสตร์สำคัญริมฝั่งแม่น้ำ Nore แต่เดิมได้ถูกสร้างด้วยไม้ โดย Richard de Clare หรือที่รู้จักกันในนามสตรองโบว์(Strongbow) และเหล่าอัศวิน 20 ปีต่อมา ทายาทรุ่นสองอย่าง William Marshal ก็ได้ทำการบูรณะใหม่โดยนำหินมาสร้างปราสาท

จากนั้นเดินทางไปยังเมือง Dublin เมืองหลวงที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไอร์แลนด์ ตั้งอยู่ทางชายฝั่งตะวันตก มีแม่น้ำลิฟฟีย์ (River Liffey) ไหลผ่านกลางเมือง เป็นศูนย์กลางของการศึกษา ศิลปะ วัฒนธรรม และอุตสาหกรรม นักท่องเที่ยวที่มาเมืองดับลิน จะได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวไอริช ทั้งความหรูหราในปราสาทของชนชั้นสูง ศาสนสถานอันเลื่องชื่อ วิทยาลัยเก่าแก่และมีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของโลก ชมทิวทัศน์บนสะพานที่แสนจะโรแมนติก และจิบเบียร์พร้อมเดินชมย่านถนนคนเดินที่คึกคักในยามค่ำคืน

จากนั้นเดินทาง ชม The Guinness Storehouse โรงงานผลิตเบียร์ดำที่มีชื่อเสียงที่สุดในไอร์แลนด์และของโลกมากกว่า 200 ปี

พักกันที่ Dublin ทัวร์ไอร์แลนด์

Day 10 : Dublin – London – Bangkok

จากนั้นชมมหาวิหารเซนต์แพทริค (St.Patrick’s Cathedral) ซึ่งเดิมเป็นโบสถ์ไม้ สร้างขึ้นในปี 1191 และได้รับการขนานนามให้เป็นมหาวิหารในปี 1224 มหาวิหารแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่เซ็นต์แพททริค ปัจจุบันมหาวิหารแห่งนี้ได้กลายมาเป็นมหาวิหารแห่งชาติของไอร์แลนด์

ไปชม The Custom House ในดับลิน เป็นอาคารสมัยศตวรรษที่ 18 แบบนีโอคลาสสิกซึ่งเป็นที่ตั้งของกรมสิ่งแวดล้อมมรดกและรัฐบาลท้องถิ่น

17.00 น. ทัวร์ไอร์แลนด์
เดินทางกลับลอนดอน โดยสายการบิน Aer Lingus Airlines เที่ยวบินที่ EI176 (17.00-18.25 น.)

21.25 น. ทัวร์ไอร์แลนด์
เดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ โดยสายการบิน Thai Airways เที่ยวบินที่ TG917

Day 11 : Bangkok

15.00 น.
เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ

ดูรูปสวยๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่ >> https://500px.com/search?q=ireland&type=photos&sort=relevance

tour-lao-luangprabang

ทัวร์ลาว

Day 1 : Bangkok – Luang Prabang

12.00 น.
นัดพบกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออกต่างประเทศ เคาน์เตอร์สายการบิน Bangkok Airways (PG) ทีมงานอำนวยความสะดวกเช็คอิน และจัดเตรียมเอกสารการเดินทางให้แก่ท่าน

15.05 น.
ออกเดินทางสู่หลวงพระบาง โดยสายการบิน Bangkok Airways เที่ยวบินที่ PG945

16.35 น.
เดินทางถึงสนามบินหลวงพระบาง หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองลาว และรับกระเป๋าสัมภาระเรียบร้อยแล้ว ขึ้นรถบัสปรับอากาศ เพื่อออกเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองมรดกโลกหลวงพระบาง

เดินทางชม “วัดเชียงทอง” ซึ่งเป็นวัดหลวงคู่เมืองหลวงพระบาง โดยพระเจ้าชัยเชษฐาธิราชได้โปรดให้สร้างขึ้น และได้รับการอุปถัมภ์จากเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ และเจ้าชีวิตศรีสว่างวงศ์วัฒนา มากเป็นพิเศษ วัดตั้งอยู่บริเวณหัวโค้งของแม่น้ำคานและแม่น้ำโขงไหลมาบรรจบกัน เป็นศูนย์ศิลปกรรมล้านช้าง ความงามของวัดอยู่ที่ความสงบสง่าสะอาด มีการวางผังออกแบบและบำรุงรักษาอย่างดี เยี่ยมชมสิม หรือ โบสถ์ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของศิลปะสกุลช่างล้านช้าง

ล่องเรือชมวิว พร้อมทานอาหารเย็น บนเรือมีคาราโอเกะ
(พิเศษ!! พิธีบายศรีสู่ขวัญตามประเพณีพื้นบ้านของหลวงพระบางบนเรือ)
พักที่ Luang Prabang

Day 2 : Luang Prabang

นำท่านเดินทางสู่ “น้ำตกตาดกวางสี” ห่างจากหลวงพระบางไปประมาณ 30 กม. ผ่านหมู่บ้านชนบทริมสองข้างทาง ชมความงดงามของน้ำตกซึ่งเป็นน้ำตกที่สวยงามแห่งหนึ่งของหลวงพระบาง โดยมีสายน้ำที่ลดหลั่นผ่านชั้นหินปูนลงสู่แอ่งน้ำที่สดใส มีทางเดินลัดเลาะขึ้นไปสู่ชั้นบนเพื่อชมความงามอีกมุมหนึ่งของน้ำตก

ออกเดินทางสู่ ถ้ำติ่ง เป็นถ้ำบนหน้าผาที่อยู่ติดริมแม่น้ำโขง มี 2 ชั้น ชั้นล่างมีความสูงจากระดับน้ำ 60 เมตร ชั้นบนต้องขึ้นบันไดไปอีก 218 ขั้น มีพระพุทธรูปเป็นจำนวนมากนับเป็นถ้ำที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา มาตั้งแต่สมัยพระเจ้าโพธิสาร ซึ่งเป็นที่เจ้ามหาชีวิต ข้าราชบริพาร พระสงฆ์ ประชาชน เดินทางมาสรงน้ำพระพุทธรูปในช่วงวันขึ้นปีใหม่ของลาว และยังเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของเจ้ามหาชีวิตในอดีตทุกพระองค์อีกด้วย

ชมผ้าพื้นเมืองที่ บ้านผานม เป็นหมู่บ้านชาวไทลื้อที่อพยพมาจากสิบสองปันนา ผู้หญิงชาวไทลื้อชำนาญในการทอผ้า ผ้าทอมือจากบ้านผานมเป็นผ้าทอที่มีชื่อเสียงมาก มีการรวมกลุ่มตั้งเป็นศูนย์หัตถกรรมแสดงสินค้า มีการสาธิตการทอผ้าด้วยกี่กระตุกแบบดั้งเดิม ผ้าทอบ้านผานมมีทั้งผ้าแพรเบี่ยงลวดลายแบบลื้อแท้ๆและยังมีผ้าทอรูปแบบต่างๆจำหน่ายให้นักท่องเที่ยว ปัจจุบันบ้านผานมได้รับการยกระดับจากทางการให้เป็น หมู่บ้านวัฒนธรรม

พักที่ Luang Prabang

Day 3 : Luang Prabang – Bangkok

นำท่านชมบรรยากาศและร่วมทำบุญตักบาตรข้าวเหนียว ซึ่งจะมีพระฆงส์และสามเณรจำนวน 200-300 รูป ออกมารับบิณทบาต (ทำบุญได้ตามศรัทธา ชุดละ 100บาท)
จากนั้นกลับมารับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม

เดินชมพระราชวังเก่าเจ้ามหาชีวิต (พิพิธภัณฑ์) อดีตเป็นพระราชวังหลวงซึ่งเป็นที่ประทับของเจ้ามหาชีวิตลาว สร้างปี ค.ศ.1904 (พ.ศ. 2447) โดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ออกแบบ ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์เมื่อปี ค.ศ.1975 (พ.ศ. 2519) มีหอที่ประดิษฐานพระบาง พระพุทธรูปปางห้ามสมุทร สูง 1.14 เมตร หนัก 54 กิโลกรัม เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองหลวงพระบางและของชาวลาว และยังเป็นที่มาของชื่อเมืองหลวงพระบางอีกด้วย เดิมเมืองนี้ชื่อเมืองขวา แล้วเปลี่ยนมาเป็น เชียงดง เชียงทอง ตามลำดับ

จากนั้นนำท่านเดินทางไปยังสนามบิน เช็คอินสายการบิน Bangkok Airways
17.20 น.
เหินฟ้าสู่กรุงเทพฯ โดยสารการบิน Bangkok Airways เที่ยวบิน PG946

18.55 น.
เดินทางถึง สนามบินสุวรรณภูมิ โดยสวัสดิภาพพร้อมความประทับใจ

ดูรูปสวยๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่ >> https://500px.com/search?q=luangprabang&type=photos&sort=relevance

tour-iran-grand

ทัวร์แกรนด์อิหร่าน

Day 1 : Bangkok – Tehran

21.00 น.
นัดพบที่สนามบินสุวรรณภูมิ ประตู 9 แถว S เคาน์เตอร์สายการบินมาฮานแอร์

23.35 น.
ออกเดินทางโดยสายการบินมาฮานแอร์ของอิหร่าน เที่ยวบิน W5-050 ซึ่งจะใช้เวลาบินตรงสู่ท่าอากาศยานอิหม่าม โคมัยนีอินเตอร์เนชันแนล (IKA) นอกกรุงเตหะราน ประมาณ 7 ชั่วโมง

Day 2 : Tehran

03.45 น.
เดินทางถึงท่าอากาศยานอิหม่ามโคมัยนี ซึ่งอยู่ทางใต้ของกรุงเตหะราน เมื่อผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองศุลกากรแล้ว

นำท่านชม Azadi Tower หนึ่งในสัญลักษณ์ของประเทศอิหร่าน อนุสาวรีย์แห่งเสรีภาพ ตั้งอยู่ที่ Azadi Square สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1971 เพื่อรำลึกถึงวันครบรอบปี 2500 ของจักรวรรดิเปอร์เซีย ความโดดเด่นของอนุสาวรีย์นี้ คือการออกแบบอนุสาวรีย์เป็นรูปตัว Y คว่ำ ซึ่งมีการผสมผสานสถาปัตยกรรมแบบเปอร์เซียหลายๆ ยุคไว้ด้วยกัน อนุสาวรีย์นี้ออกแบบโดย Hossein Amanat สถาปนิกชื่อดังชาวอิหร่าน

ชมพระราชวังกุหลาบ Golestan Palace พระราชวังแห่งนี้ถือเป็นหนึ่งสถานที่ประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองเตหะราน สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยคริสต์วรรษที่ 16 ในราชวงศ์ Safavid สิ่งที่เหลืออยู่จากสมัยนั้น คือ ป้อมสูง (Citadel) สำหรับส่องดูข้าศึกและสถานอาบน้ำแบบเติร์ก องค์การยูเนสโก้ได้ประกาศให้ Golestan Palace เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 2007 ความสวยงามของสถานที่นี้จนมีผู้ยกย่องว่า “A masterpiece of the Qajar era” ปัจจุบันพระราชวังโกเลสตานยังคงใช้เป็นที่รับรองบุคคลสำคัญ แขกบ้านแขกเมืองมาจากต่างประเทศอย่างเป็นทางการ

เดินเล่นชม Tehran Grand Bazaar สีสันของการจับจ่าย อาหาร แฟชั่น เครื่องประดับ พรม ขนม ของฝาก ฯลฯ กับพื้นที่กว่า 10 กิโลเมตร ตลาดนี้ตั้งอยู่ที่จตุรัส ARG หรืออยู่ตรงข้ามกับประตูทางออกของพระราชวัง Golestan เป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีตรอกซอกซอยครอบคลุมไปทั่วบริเวณ

นําท่านชมกรุอภิมหาสมบัติที่พิพิธภัณฑ์อัญมณีแห่งชาติอิหร่าน (National Jewelry Museum) ซึงอัญมณีจากทุกยุคทุกสมัยของกษัตริย์ทุกราชวงศ์ทีเคยปกครองอาณาจักร เปอร์เซียในอดีตและครอบครองอภิมหาสมบัติจํานวนมากมายนั้น ล้วนถูกเก็บไว้ในสถานทีแห่งนี้จนเรียกได้ว่ามีความอลังการในชนิดและรูปแบบ และมโหฬารในจํานวนที่มากมายทีสุดในโลกจากพิพิธภัณฑ์อัญมณี

นำท่านเดินทางชม Tabiat Bridge สะพานคนเดินที่ใหญ่และยาวที่สุดในกรุงเตหะราน โดยสะพานแห่งนี้ถือเป็นความภูมิใจในสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น ร่วมสมัยของชาวอิหร่าน ซึ่งตัวสะพานสร้างเชื่อมสวนสาธารณะขนาดใหญ่ 2 แห่ง ได้แก่ Taleghani Park และ Abo-Stash Park โดยสถาปิกผู้ออกแบบนามว่า Leila Araghian ซึ่งผลงานการออกแบบสะพานแห่งนี้ได้รับรางวัล Architizer A+ Award จัดขึ้นที่กรุง New York อีกด้วย

คืนนี้พักที่เมือง Tehran

Day 3 : Tehran – Kashan

เดินทางไปยังเมือง Kashan เป็นเมืองในโอเอซิสที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์ นำท่านไปเที่ยวชม สวนฟิน (Fin Garden) ซึ่งเป็นสวนที่อยู่ติดกับที่ราบเชิงเขาซาโกรซ ถูกสร้างขึ้นในราชวงศ์ซาฟาวิด โดย ชาห์ อับบาสที่ 1 ออกแบบให้เป็นสวนแบบเปอร์เซีย ภายในสวนได้ถูกตกแต่งด้วยน้ำพุ ที่เกิดจากแหล่งน้ำธรรมชาติซึ่งมีความดันจากน้ำใต้ดิน สามารถให้มีกำลังน้ำที่ไหลไปตามท่อต่างๆ และไหลไปหล่อเลี้ยงต้นไม้ต่างๆ ภายในสวนด้วย และยังมีวังอันสวยงามที่ถูกสร้างเป็น 2 ชั้นสำหรับเป็นที่ประทับ พร้อมกันนั้นก็มีห้องอาบน้ำและอบไอน้ำ

ชม Tabatabaei house เป็นคฤหาสน์ขนาดใหญ่ของพ่อค้าพรม ที่บริจาคให้กับรัฐบาลเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชมความอลังการบ้านที่เอกลักษณ์ ความเป็นอยู่คนคาซาน ลักษณะของคฤหาสน์ ลานโล่ง และสระน้ำอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยอาคารแบ่งเป็นห้องต่างๆ ที่น่าสนใจ คือ หอดักลมที่ช่วยระบายความร้อนในช่วงฤดูร้อน และให้ความอบอุ่นช่วงฤดูหนาว

ชม Borujerdi Historical House บ้านหรือคฤหาสน์หลังนี้ได้ถูกสร้างขึ้นโดยพ่อค้าที่มีชื่อเสียงของเมืองคาชาน ชื่อว่า ฮัจ เซเยส จาฟาร์ นาทานซี เพราะว่าได้ทำการส่งสินค้าออกไปยังเมืองบรูเจอร์ดี บ้านหลังนี้ได้ถูกสร้างเมื่อปี ค.ศ.1875 ใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ 18 ปี ภายในประกอบไปด้วยสนามหญ้าที่ถูกตกแต่งด้วยต้นไม้ และตัวบ้านมีลักษณะเป็นช่องลมเพื่อให้อากาศได้ถ่ายเทและหมุนเวียน อีกทั้งยังทำการตกแต่งลวดลายฝาผนังด้วยการแกะสลักปูนปั้นและทาสีให้มีความสวยงามตามแบบลักษณะของอิหร่านอีกด้วย

เที่ยวชม Agha Bozorg Mosque เป็นมัสยิดเก่าแก่ต่อมาในราชวงศ์กอจาร์กได้สร้างโรงเรียนสอนศาสนาขึ้นมาด้วย ด้านหน้ามัสยิดจะมีสนามหญ้า ไม้ประดับ ตรงกลางมีน้ำพุ ส่วนด้านหลังจะเป็นตัวโดมที่ถูกสร้างด้วยอิฐ

เที่ยวชม Kashan Bazaar เป็นบารซาร์ที่ตั้งอยู่ในกลางเมืองที่เก่าแก่ สร้างขึ้นในสมัยของราชวงศ์ซาฟาวิด ภายในตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงและยังถูกใช้งานมาจนถึงปัจจุบันนี้

คืนนี้พักที่เมือง Kashan

Day 4 : Kashan – Esfahan

เดินทางไปยังเมือง Esfahan ตั้งอยู่ห่างจากกรุงเตหะรานทางทิศใต้ราว 340 กม. อดีตเมืองหลวงของอาณาจักรเปอร์เซียแห่งยุคที่มีความรุ่งเรืองสูงสุดอีกครั้งหนึ่งในศตวรรษที่ 17-18 มีความมั่นคงเป็นปึกแผ่นภายใต้การปกครองของราชวงศ์ซาฟาวิด ซึ่งเป็นชาวเปอร์เซียแท้ และเมืองหลวงอิสฟาฮานก็กลายเป็นทั้งเมืองศูนย์กลางการปกครองและเมืองศูนย์กลางทางการค้า จนได้รับฉายาว่า Esfahan is half of the world และปัจจุบันนี้ (เป็นเมืองมรดกโลกโดยการขึ้นทะเบียนขององค์การยูเนสโก เมื่อเดินทางถึงเมือง Esfahan นำท่านเข้าเช็คอินที่โรงแรม

นำท่านเยี่ยมชม Naqsh-e-Jahan ซึ่งมีพื้นที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งนับว่าเป็น จัตุรัสที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากจัตุรัสเทียนอันเหมิน ที่มีความกว้าง 165 เมตร และมีความยาวถึง 500 เมตร รวมเนื้อที่ประมาณ 80,000 กว่าตารางเมตร ใหญ่กว่าจัตุรัสแดงในกรุงมอสโคว์ถึง 2 เท่า ในอดีตเป็นสนามแข่งโปโล หรือ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า จัตุรัสอิหม่าม Imam Square อัญมณีแห่งโลกมุสลิมที่ผนวกรวมทั้งแนวความคิด ปรัชญา และสถาปัตยกรรมที่สวยงามเอาไว้ในที่เดียวกัน

ชม พระราชวังอะลีคาปู(Ali Qapu Palace) สร้างขึ้นในตอนปลายศตวรรษที 16 เพื่อเป็นทีประทับของกษัตริย์ชาห์อับบาสที 1 ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของจัตุรัสอิหม่าม เป็นอาคาร 6 ชั้น ทีใช้ไม้และอิฐเป็นวัสดุหลักในการก่อสร้าง บนชั้นของพระราชวังสร้างเป็นห้องโถงใหญ่และมีระเบียงหันหน้าเข้าหาจัตุรัสอิหม่ามสําหรับพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ไว้ประทับทอดพระเนตรการละเล่นต่างๆ และปัจจุบันกลายเป็นจุดชมวิวและถ่ายภาพมุมสูงที่สวยงาม ซึ่งสามารถมองเห็นทุกมุมและทุก อย่างที่อยู่บนจัตุรัสได้อย่างชัดเจน

ชม Bazaar of Esfashan หรือที่เรียกกันว่า Qeysarriyeh Bazaar ตลาดใหญ่ประจำเมืองที่เป้นแหล่งการค้าหรูในสมัยซาฟาวิด ตลาดนี้มีสินค้าพื้นเมือมากมาย เช่น พรม กระเป๋าผ้า เครื่องประดับ เครื่องเงิน แจกัน ของแต่งบ้าน เป็นต้น

คืนนี้พักที่เมือง Esfahan

Day 5 : Esfahan

ชมมัสยิดอิหม่าม (Imam Mosque) ตั้งอยู่ปลายสุดทางด้านทิศใต้ของจัตุรัส เป็นหนึ่งในมัสยิดทียิงใหญ่และสวยงามทีสุดแห่งหนึ่งของโลก เริ่มสร้างในปี 1611 สมัยกษัตริย์ชาห์อับบาสที่ 1 และเสร็จสมบูรณ์ในอีก 4 ปีต่อมา นอกจากขนาดทีใหญ่โตโอฬารแล้ว ยังเป็นมัสยิดทีมีองค์ประกอบทางด้าน สถาปัตย์ทีสวยงามทีสุดในประเทศอิหร่านโดยเฉพาะโดมประธานขนาดมหึมาทีสร้างคร่อมกันเป็นสองชั้นขนานกันตลอดทุกตารางนิ้ว ซึ่งมีผลต่อการระบายอากาศและการกระจายของเสียงผู้นําสวดให้แผ่ออกไปจนได้ยินอย่างชัดเจนในทุกซอกทุกมุมของมัสยิดโดยไม่ต้องใช้ไมโครโฟน

เข้าชมมัสยิด Sheikh Lotf Allah ซึ่งเป็นมัสยิดที่มีการออกแบบทั้งภายในและภายนอกอย่างสวยงามวิจิตรตระการตา ประดับประดาไปด้วยกระเบื้องเคลือบสีสันสวยงามตามแบบศิลปะเปอร์เซีย นอกจากนี้กลุ่มอาคารต่างๆ ยังมีการตกแต่งที่สวยหรูไม่แพ้กันอีกด้วย ที่นี่ได้รับการจดทะเบียนให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1979

ชม Chehel Sotun Palace หรือ วัง 40 เสา ซึ่งความจริงแล้วมีเสาเพียง 20 ต้นเท่านั้น แต่เมื่อมองผ่านเข้ามาทางสระน้ำหน้าวังจะเป็นเงาในน้ำอีก 20 ต้น ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1614 โดยสถาปนิก ชื่อ ชีคห์ บาไฮ พื้นที่ของพระราชวังประมาณ 67,000 ตรม. ด้านหน้ามีสระน้ำมีความยาว 100 เมตร และกว้าง 16 เมตร และตัวพระราชวัง 2 ชั้นสูง 15 เมตร มีการแกะสลักลวดลายประตูหน้าต่างที่สวยงาม และล้อมรอบไปด้วยสวนดอกไม้ที่เขียวชอุ่มเพื่อให้เป็นที่พักผ่อนของกษัตริย์และนางสนมต่อมาใช้เป็นที่ต้อนรับพระราชอาคันตุกะ ซึ่งต่อมาก็ได้ถูกต่อเติมโดยกษัตริย์ชาห์ อับบาส ที่ 2 และเสร็จเรียบร้อยในปี ค.ศ.1647

ชมโบสถ์แว้งค์(Vank Church) ซึงเป็นโบสถ์ประจําชุมชนชาวอาร์เมเนียซึ่งพักอาศัยอยู่ในเขต “นิวจุลฟา” ของเมืองอิศฟาฮาน ซึ่งนับถือศาสนาคริสต์นิกายออร์โธด๊อกซ์ นี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของคนต่างนิกาย ต่างศาสนา แต่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข และชี้ให้เห็นถึงความใจกว้างของผู้นําประเทศและผู้นําทางศาสนาซึงเป็นมุสลิมนิกายชีอะห์ ตัวโบสถ์สร้างระหว่างปี 1606-1655 หากมองจากภายนอกจะเห็นโดมของโบสถ์เหมือนเป็นโดมของมัสยิด แต่ถ้าดูให้ดีจะเห็นไม้กางเขนขนาดเล็กปักอยู่ทีโดมใกล้ๆ กับตัวโบสถ์จะมีพิพิธภัณฑ์ของชาวอาร์เมเนียนซึ่งจัดแสดงภาพเขียนของบุคคลสําคัญของชาวอาร์เมเนียน และบางส่วนจัดแสดงวิวัฒนาการเกียวกับการพิมพ์ในอิหร่าน ซึ่งชาวอาร์เมเนียนเป็นผู้บุกเบิก

นำทุกท่านเดินทางสู่เขต New Julfa ซึ่งเป็นเขตที่ชาวอาร์เมเนียอพยพมาตั้งรกรากที่เปอร์เซียแห่งนี้ตั้งแต่สมัยสงครามออตโตมัน ในปี ค.ศ. 1603-1618 โดยได้นำเอาคริสต์ศาสนาซึ่งเป็นศาสนาที่ชาวอาร์เมเนียนมาด้วย

ชื่นชมทัศนียภาพของความงดงามของสายน้ำ สะพาน Siosepol Bridge สะพานที่สร้างขึ้นด้วยอิฐโบราณที่โค้งรับน้ำถึง 33 โค้ง สร้างประมาณราว ค.ศ. 1622 เป็นศิลปะแบบเปอร์เซีย ซึ่งมีความโดดเด่นและ ความสวยงามมากมีอายุกว่า 380 ปี สะพานนี้ทอดข้ามแม่น้ำซอยันเดห์โรด์ เช่นเดียวกับสะพานคาจู

ชม สะพาน Khajou Bridge เป็นสะพานเก่าแก่ที่สวยงามที่สุดในเมืองอิสฟาฮาน ของประเทศอิหร่าน ข้ามแม่น้ำแม่น้ำซอยันเดห์โรด์ (Zayandeh-Rud) สร้างมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิตีมูร์ ในศตวรรษที่ 15 ก่อนที่ในศตวรรศที่ 17 ราวปี ค.ศ. 1650 กษัตริย์ชาวเปอร์เซีย “ชาห์ อับบัสที่ 2” แห่งราชวงศ์ซาฟาวิด (Safavid Dynasty) ได้สร้างสะพานใหม่ทับรากฐานสะพานเก่า ในรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบสะพานโค้งโรมัน สะพานคาจูมีสีน้ำตาลอ่อนตามสีอิฐที่ใช้ก่อสร้าง มีความยาวถึง 132 เมตร กว้าง 12 เมตร มี 2 ชั้น ประกอบด้วยซุมโค้ง 23 ซุ้ม โครงสร้างด้านบนเป็นอิฐ สร้างเป็นถนนให้สัญจร ตรงกลางทั้งสองข้างของสะพาน มีศาลาโถงรูปหกเหลี่ยมตั้งอยู่ อดีตเป็นพลับพลาที่ประทับ เพื่อให้กษัตริย์และข้าราชบริพาร

คืนนี้พักที่เมือง Esfahan

Day 6 : Esfahan – Meybod – Yazd

เดินทางต่อสู่เมืองเมย์บ็อด (Meybod) ซึงอยู่ห่างจากเมืองนาอีนประมาณ 1 ชัวโมง นําท่านชมป้อมปราการนาริน (Narin Caravan Sarai) ซึงนักประวัติศาสตร์ เชื่อว่าในบริเวณนี้คือทีตั้งหลักแหล่งของคนยุคบรรพกาลตั้งแต่ประมาณ 4,000 ปีก่อนคริสตกาลเลยทีเดียว และป้อมปราการแห่งนี้ก็สร้างคร่อมบนที่ตั้งหลักแหล่งเดิมตั้งแต่ประมาณ 800-900 ปี ก่อนคริสตกาลในยุคกษัตริย์โซโลมอนแห่ง อาณาจักรยูดายส่วนป้อมปราการที่เห็นในปัจจุบันนี้ได้สร้างขึ้นใหม่ในยุคซัสซาเนียน ของเปอร์เซียนี้เอง

ชมที่พักแรมทางของพ่อค้าในอดีตซึ่งเรียกว่า “คาราวานซาราย” (Caravan Sarai) และปัจจุบันนี้ได้ถูกดัดแปลงให้เป็นที่พักสําหรับนักท่องเที่ยวให้ได้สัมผัสบรรยากาศแบบย้อนยุคเมื่อเกือบ 500 ปีทีแล้ว

แวะชม Ice House โกดังเก็บน้ำแข็ง (หิมะ) ในช่วงฤดูหนาวสำหรับใช้ในหน้าร้อน

ชม Pigeon House หอคอยนกพิราบอาบุ 200 ปี ภายในแบ่งเป็นช่องขนาดพอดีตัวนกพิราบ มีทั้งสิ้น 1,000 ช่อง เพื่อเลี้ยงเป็นอาหารและนำมูลไปใช้เป็นปุ๋ย

แวะ จิบกาแฟที่ร้าน Yazd Art House เป็นร้านอาหารกุ่งคาเฟ่ และร้านขายของฝากที่ก่อตั้งโดยนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากรวิทยาเขต Yadz

ชมเมืองเก่าแห่งยาซด์ เป็นสถานที่ที่เก่าแก่แห่งหนึ่งในโลก และอยู่ในรายชื่อที่เป็น UNESCO World Heritage site มีมาตั้งแต่ 5000 ปีที่แล้วซึ่งเป็นปีก่อตั้งเมือง กำแพงสร้างมาจากอิฐฉาบด้วยดินผสมฟางเรียงรายติดๆกันไปตลอดแนว มีทางเดินแคบๆลดเลี้ยวไปตามตรอกบ้านเรือนนับพันหลัง

ชม อนุสรณ์สถาน Amir Chakhmaq Monument ซึ่งถูกสร้างขึ้นในบริเวณที่เป็นจัตุรัสอยู่กลางเมือง ถูกสร้างขึ้นโดยจาดิน อัล อาเมียร์ เช็คห์แมก ในขณะที่ท่านเป็นผู้ว่าการของยาซ์ดในสมัยของราชวงศ์ตีมูร์ สถานที่แห่งนี้มีรูปแบบและการออกแบบที่เข้ากับความสวยงามซึ่งมีน้ำพุอยู่ตรงกลาง และยังมีมัสยิดที่มีชื่อเดียวกันถูกสร้างอย่างสวยงาม นอกจากนั้นยังมีที่พักของคนเดินทางคาราวานซาราย มีที่อาบน้ำและมีน้ำเย็นสำหรับดื่ม เมื่อเวลาพลบค่ำก็จะมีแสงสีส้มที่สวยงามที่ออกมาจากส่วนโค้งข้างในมัสยิด ซึ่งทำให้เป็นภาพที่น่าตื่นเต้น

คืนนี้พักที่เมือง Yazd

Day 7 : Yazd

ชม Tower of Silence นำท่านชมศาสนสถานและเคยเป็นศูนย์กลางของศาสนา โซโรแอสเตอร์ในอดีต ตั้งอยู่บนเนินเขาด้านใต้ของเมืองยาซด์ เป็นคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ที่ประกอบไปด้วยตัวอาคารหลักในการทำพิธีกรรมทางศาสนา มีบ่อน้ำดื่มน้ำใช้อยู่ใต้ดิน ห้องครัว ห้องพัก และแท่นทำพิธีศพที่อยู่ด้านหลังตัวอาคาร ทั้งหมดนี้สร้างด้วยดินเหนียวตากแห้งและเรียกรวมกันว่า Tower of Silence

จากนั้นชม Ateshkadeh Fire Temple ซึ่งเป็นศาสนสถานที่ชาวโซโรแอสเตรียนในเมืองยาซด์ยังคงใช้ในการทําพิธีอยู่ ทั้งการบูชาเทพอะหุรามาสดาซึ่งเป็นเทพสูงสุดของศาสนานี้ และท่านศาสดาโซโรแอสเตอร์ซึงเป็นผู้เผยแผ่คําสอนมาตั้งแต่เมือ 628 ปีก่อนคริสตกาล การเข้าชมย่อมต้องให้ความเคารพต่อสถานทีโดยการไม่ส่งเสียงดัง และอยู่ในอาการสํารวมเมือเข้าไปภายในห้อง ทําพิธี ซึ่งห้องนี้ จะต้องมีเปลวไฟลุกโชติช่วงอยู่ตลอดเวลาเปรียบดังพระอาทิตย์ที่ไม่มีวันดับ

ชม Jameh Mosque ที่เชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดในบรรดามัสยิดทั้งหลายในประเทศอิหร่านปัจจุบัน เป็นศาสนสถาน งดงามที่สุดในยาซ์ดมีอายุกว่า 800 ปี สร้าง ตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 จนมาบูรณะและขยับขยาย เมื่อต้นศตวรรษที่ 20

นำท่านชมพิพิธภัณฑ์น้ำ Water Museum ภายในมีห้องแสดงอุปกรณ์การทำระบบขนส่งน้ำรวมถึงวิธีการขนส่งระบบน้ำในสมัยโบราณ

ชม Dowlat abad garden มีสวนสไตล์เปอร์เซีย และ ชมเครื่องจับลมสร้างความเย็นในฤดูร้อน หรือ แอร์ในสมัยโบราณนั่นเอง

คืนนี้พักที่เมือง Yazd

Day 8 : Yazd – Shiraz

เดินทางไปยังเมือง Shiraz ซึ่งเป็นเมืองหลวงและศูนย์กลางการปกครองของจังหวัดฟาร์ส

จากนั้นเดินทางสู่พระราชวังโบราณเปอร์ซีโปลิส (Persepolis) ซึ่งอยู่ทางด้านเหนือของเมืองชีราซขึ้นไปประมาณ1 ชั่วโมง พระราชวังแห่งนี้ ได้ถูกสร้างขึ้นเป็นแห่งที่สองนับตั้งแต่สถาปนาอาณาจักรเปอร์เชียขึ้นเมือปี 559ก่อนคริสตศักราช (พระราชวังและเมืองหลวงแห่งแรกคือพาซากาด สร้างโดยกษัตริย์ไซรัสมหาราช)

จากนั้น นำท่านไปเที่ยวชมสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสุสานที่ฝังศพของกษัตริย์ 4 องค์ เนโครโพลิส (Necropolis) ชมสถาปัตยกรรมที่เด่นในการแกะสลักบนผาหินและที่สำคัญเป็นสุสานของษัตริย์ ดาริอุสที่ 1 และกษัตริย์องค์ต่อๆมาอีก 3 พระองค์ ซึ่งเคยปกครองนครเปอร์เซโพลิสมาก่อน

คืนนี้พักที่ Shiraz

Day 9 : Shiraz

ชมมัสยิดสีชมพู (Nasir-Ol Molk) ซึ่งเป็นมัสยิดทีสวยงามแปลกตามาก เพราะประดับไปด้วยกระเบื้องโทนสีแดง-ชมพู-เหลือง เป็นสี หลัก มีเพียงแห่งเดียวในอิหร่าน ไม่ว่าท่านจะมองจากมุมไหน มัสยิดแห่งนี้จะออกสีชมพู อ่อนหวาน ความสวยขนาดทีได้รับเลือก ให้เป็นภาพปกหนังสือ ตอนย้อนรอยอารยันของนักเขียนนาม เชนทร์ ชนะการณ์ มาแล้ว ข้างในกว้างขวาง ใหญ่โตไม่ว่าจะ มองมุมไหน

นำท่านชม สวนนาเรนเจสตาน (Narenjestan Garden) ซึ่งเป็นสวนที่มีความสวยงามอีกแห่งของชีราช ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1879 และเรียบร้อยในปี ค.ศ.1886 เพื่อให้เป็นที่พำนักของแขกต่างเมืองที่มาเยี่ยมเยือน แต่ต่อมาก็ได้กลายเป็นที่พักของเจ้าเมืองในราชวงศ์กอจาร์ในอดีต ซึ่งภายในทางเข้าได้ถูกตกแต่งด้วยกระจกชิ้นเล็กๆ ด้วยฝีมือที่สวยงาม และห้องต่างๆที่อยู่รอบด้านก็ได้มีการตกแต่งด้วยกระจกสีที่บานหน้าต่างอีกด้วย ส่วนอีกด้านหนึ่งที่อยู่บริเวณข้างๆกัน ยังมีการตกแต่งภายใน และมีพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งของบุคคลที่สำคัญในอดีตของเปอร์เซีย

ชม Vakil Mosque มัสยิด Vakil เป็นมัสยิดใน Shiraz ทางตอนใต้ของอิหร่านตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของ Vakil Bazaar ติดกับทางเข้า มัสยิดแห่งนี้สร้างขึ้นระหว่างปี 1751 และปี 1773 ได้รับการจดทะเบียนในบัญชีมรดกแห่งชาติอิหร่านในปี 1932

เลือกซื้อของฝากที่ ตลาดวากิลบาซาร์ (Vakil Bazaar) เป็นตลาดบาซาร์ที่ตั้งอยู่ในบริเวณดาร์บ อี ชาห์ซาเดห์ ซึ่งอยู่ใกล้กับมัสยิดวาคิล ภายในจะมีสินค้าหลายอย่างรวมทั้งเครื่องเทศต่างๆ มากมาย ทัวร์แกรนด์อิหร่าน

พักที่ Shiraz

Day 10 : Shiraz – Tehran – Bangkok

นำท่านไปชม สวนอีแรม (Eram Garden/ Garden of Paradise) สวนที่สวยงามราวกับสวนสวรรค์ เป็นสวนที่ตกแต่งด้วยไม้ดอกไม้ประดับและไม้ยืนต้นหลากหลายชนิด เป็นการจัดสวนแบบเปอร์เซียที่งดงามยิ่ง ภายในสวนยังมีตำหนักเก่าของผู้ปกครองเมืองชีราซ ราชวงศ์กอจาร์(Qajars) สร้างโดย ข่านโมฮัมหมัด อาลี เมื่อต้นศตวรรษที่ 18 ซึ่งทิ้งร่องรอยแห่งความสวยงามไว้จนกระทั่งปัจจุบัน

ชม ที่ฝังศพฮาเฟซ (Mausoleum of Hafez) ซึ่งมีชื่อเต็มว่า ซัมซุดดิน มูฮัมหมัด ฮาเฟซ เป็นกวีเอกที่มีชื่อเสียง เกิดที่เมืองชีราซเมื่อปี ค.ศ.1324 และเสียชีวิตเมื่อปีค.ศ. 1391 ฮาเฟซมีความสามารถในการแต่งบทกวีที่ได้ความไพเราะ ที่เข้าใจวิถีชีวิตของผู้คน และแต่งกวีที่ใช้คำง่ายๆขึ้นมาให้เป็นคติสอนคนให้เป็นคนดี อนุสรณ์สถานที่ฝังศพของนักกวีที่ยิ่งใหญ่ที่สร้างได้ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อปี ค.ศ.1936-1938 เพื่อให้เป็นที่รำลึกถึงคุณงามความดีของท่าน

15.40 น.
ออกเดินทางสู่กรุงเตหะรานโดยสายการบิน Iran Aseman Airlines เที่ยวบินที่ EP3785 โดยใช้เวลาบินประมาณ 1.25 ชั่วโมง ทัวร์แกรนด์อิหร่าน

18.20 น.
ถึงสนามบิน เตหะรานแล้ว นำท่านต่อเครื่องเดินทางกลับกรุงเทพ

21.45 น.
ออกเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ โดยสายการบินมาฮาน แอร์ เที่ยวบิน W5-051 ซึ่งใช้เวลาในการบินตรงประมาณ 6 ชั่วโมงครึ่ง ทัวร์แกรนด์อิหร่าน

Day 11 : Bangkok

07.45 น.
เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯโดยสวัสดิภาพ

โปรแกมอื่นๆ >> https://www.painaima.com/tag/iran/

ดูรูปภาพสวยๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่ >> https://500px.com/search?q=kashan&type=photos&sort=relevance

tour-kyrgyzstan

ทัวร์คีร์กีซสถาน

Day 1 : Bangkok – Bishkek

07.30 น. พบกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อเช็คอินสายการบิน Air Astana

10.15 น. ออกเดินทางสู่เมือง Bishkek โดยสายการบิน Air Astana (KC932 10.15-16.25 น. / KC109 18.00-18.55 น.)

18.55 น.
ถึงสนามบิน เมืองบิชห์เคก (Bishkek) ซึ่งเป็นเมืองหลวงและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศคีร์กีซสถาน และยังเป็นเมืองศูนย์กลางการปกครองของจังหวัดชุย โดยมีฉากหลังของเมืองที่สวยงามและมีแม่น้ำชุยที่ไหลผ่านในพื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์สำหรับการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์

พักที่ Plaza Hotel หรือเทียบเท่า

Day 2 : Bishkek – Too Ashuu Pass – Suusamyr Valley – Kyzyl Oi

นำท่านเดินทางข้าม Töö Ashuu Pass ทางหลวงที่ลัดเลาะไปตามร่องเขา เพื่อไปยัง Suusamyr Valley หุบเขาที่มีความสูง 2,000-2500 เมตรจากระดับน้ำทะเล บนแนวเขา Suusamyr Too กับ Kyrgyz Ala-Too ส่วนหนึ่งของภูเขาเทียนชาน ซึ่งในช่วงหน้าร้อนจะงดงามด้วยทุ่งดอกไม้มากมาย

เดินทางไปยัง Kyzyl Oi หมู่บ้านแบบชาวคีร์กีซดั้งเดิมบนที่ราบที่ล้อมรอบด้วยภูเขาสูง หมู่บ้านคีซีลโอยได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านที่หนาวที่สุดในประเทศ

พักที่ Kyzyl Oi Guesthouse

Day 3 : Kyzyl Oi – Song Kol Lake

นำท่านออกเดินทางจาก Kyzyl Oi ผ่านเส้นทางที่สวยงามไปยัง Song Kol Lake ระหว่างทางชื่นชมกับทัศนยภาพแปลกตา

นำท่าน ชมทะเลสาบ Song Kul Lake ทะเลสาบที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศคีร์กีซสถาน ทะเลสาบอยู่บนความสูงประมาณ 3,016 เมตร จากระดับน้ำทะเลมีพื้นที่ประมาณ 278 ตร.กม. ลึกประมาณ 14 เมตร ในช่วงฤดูร้อนรอบๆทะเลสาบจะเต็มไปด้วยดอกไม้นานาชนิดมากมาย

เย็นนี้ดื่มด่ำชื่นชมกับบรรยากาศที่พักแบบกระโจมริมทะเลสาบ Song Kol

พักที่ Yurt Camp (ห้องน้ำรวม)

Day 4 : Song Kol Lake – Naryn

ตื่นเช้ารับอากาศบริสุทธิ์แห่ง Songkul lake เดินเล่น ถ่ายรูปตามอัธยาศัย จากนั้นอำลา Yurt camp เดินทางลงสู่เขตเมือง

เดินทางไปยังเมือง Naryn ประมาณ 120 กม. เป็นศูนย์กลางของการบริหารในภาคกลางของคีร์กีซสถาน มีประชากรประมาณ 40,000 คน ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นป้อมปราการบนเส้นทางคาราวานในปี ค.ศ. 1868

เดินเล่นชมเมืองและมอสที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งบนเส้นทางสายไหมโบราณ

พักที่ Naryn

Day 5 : Naryn – Bokonbayevo – Eagle Hunting Show

นำท่านเดินทางไปยังเมือง Bokonbayevo (ประมาณ 5 ชม.) มีหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่สุดทางด้านใต้ของทะเลสาบ Issyk ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มคนที่ยังคงฝึกนกอินทรีย์ออกล่าเหยื่อที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานเดินทางชมวิถีชีวิตคนท้องถิ่นผู้มีความสามารถในการใช้ นกอินทรีย์ล่าเหยื่อ (Eagle-hunter) โดยจะมีการแสดงวิธีการล่าเหยื่อด้วยวิธีการดังกล่าว ซึ่งถือว่าเป็นกิจกรรมที่หาดูได้เพียงไม่กี่แห่งในโลกใบนี้

นำท่านไปยัง Bokonbayevo Village หมู่บ้านที่มีการเลี้ยงและผสมพันธุ์ม้า ชมการเลี้ยงม้าของชาวคีร์กีซซึ่งในอดีตเป็นชุมชนเร่ร่อน ซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ม้าร่วมกับสุนัขในการล่าในชีวิตประจำวัน

พักที่ Bel Tam Yurt Camp

Day 6 : – Skazka Canyon – Jeti Oguz Seven Bulls Rock – Karakol

ชมความสวยงามของผา Skazka Canyon หรือ Fairy Tale canyon ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ ของทะเลสาบ Issyk-Kul เป็น Canyon ที่มีอายุนับล้านปีที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำและลม

นำท่าน ชม Jeti Oguz Gorge เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่เกิดจากการกัดเซาะของกองหินตามธรรมชาติที่มีชื่อว่า ‘Jeti-Oguz’ มีความหมายว่าวัวเจ็ดตัว เนื่องจากมีหินที่มีรูปทรงคล้าย ‘วัวเจ็ดตัว’ (Seven Bulls) เป็นแนวภูเขาหินสีแดงโค้งขึ้นลงเหมือนหลังวัว อีกหนึ่งสถาปัตยกรรมทางธรรมชาติที่สวยงาม

นำท่านออกเดินทางไปยัง เมืองคาราโคล (Karakol) เป็นเมืองที่มีความใหญ่โตเป็นอันดับที่ 4 ของประเทศรองจากเมือง จาลาล อาบัด โอสห์และบิสห์เค๊ก และอยู่ห่างจากพรมแดนของจีน ประมาณ 150 กม. มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 67,100 คน

คืนนี้พักที่ Karakol

Day 7 : Sobor Svyatoy Troitsky – Dungan – Burana Tower -Bishkek

นำท่านไปชม Sobor Svyatoy Troitsky เมื่อเมืองคาราโคลได้กลายเป็นที่ตั้งของกองทหารของพระเจ้าซาร์แห่งอาณาจักรรัสเซียเมื่อปี ค.ศ.1869 ดินแดนแห่งนี้ก็ได้มีการสร้างโบสถ์ขึ้นมาและได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงในปี ค.ศ.1889 ทำให้บ้านเรือนได้รับความเสียหายพร้อมด้วยสิ่งมีชีวิตอีกอย่างมากมาย ต่อมาอีก 6 ปีก็ได้มีการซ่อมแซมบูรณะสิ่งต่างๆจนเสร็จเรียบร้อย และในระหว่างนั้นก็พร้อมด้วยการสร้างโบสถ์ขึ้นมา และได้มีการตกแต่งให้สวยงามจนถึงทุกวันนี้

นำท่านชม สุเหร่าดันแกน (Dungan Mosque) เป็นสุเหร่าที่ตั้งอยู่ในเมืองของพวกดันแกนที่ได้อพยพมาอยู่ในบริเวณและได้สร้างชุมชนแห่งนี้ ขึ้นมาเมื่อปี ค.ศ.1877 สุเหร่าถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1904 และเสร็จเรียบร้อยในปี ค.ศ.1907 โดยช่างสถาปนิกของชาวจีนและช่างฝีมืออีก 20 คน การก่อสร้างที่ใช้ประโยชน์ของไม้ทั้งหมดโดยมิได้ใช้ตะปู และยังมีการทาสีที่สดใสสวยงาม สีแดง สีเขียวและสีเหลือง นอกจากนั้นยังมีการวาดภาพดอกไม้ รูปสัตว์ในนิยายมังกรและนกฟีนิกซ์อีกด้วย

เดินทางต่อเลาะเลียบทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในคีร์กีซสถาน อือซิคุลเป็นทะเลสาบในเทือกเขาเทียนชาน ลึกเป็นอันดับที่ 7 และใหญ่เป็นอันดับที่ 10 ของโลกตามปริมาตร และเป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่ใหญ่เป็นอันดับที่สองรองจากทะเลแคสเปียน อือซึก-เกิลแปลว่า “ทะเลสาบอุ่น” ในภาษาคีร์กีซ แม้ว่าจะล้อมรอบด้วยยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ แต่ก็ไม่เคยเป็นน้ำแข็ง

นำท่านไปชม หอคอยบูราน่า (Burana Tower) ที่ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11 ให้เป็นหอมินาเร่ท์ โดยข่านเนทแห่งคาราข่านนิดส์ ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวที่ถูกสร้างขึ้นในเอเชียกลาง ซึ่งต่อมาในราวศตวรรษที่ 15 ได้เกิดแผ่นดินไหวจึงทำให้ส่วนสูงลดลงมาเหลือเพียงประมาณ 35 เมตร จากนั้นเดินทางกลับเมือง Bishkek

นำท่านเดินทางกลับเข้าสู่เมือง Bishkek เมืองหลวงของสาธารณรัฐคีร์กีซ ตั้งอยู่ในเทือกเขา Tien Shan ตัวเมืองวางผังแบบตาราง มีถนนกว้างขนาบข้างด้วยคลองชลประทานและต้นไม้ขนาดใหญ่ อาคารที่มีอาคารหินอ่อนและอาคารอพาร์ตเมนต์ถูกสร้างในสมัยโซเวียตปกครอง

พักที่ Bishkek

Day 8 : Bishkek City tour – Bangkok

เดินเล่นบริเวณจตุรัส Pobeda Square เป็นจตุรัสกลางเมือง ศูนย์กลางธุรกิจ ศาลาว่าการเมือง ธนาคาร ห้างร้านต่างๆ

ชมสวนสาธารณะ Dubovi Park ซึ่งเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ประติมากรรมกลางแจ้งซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1984 มีงานแกะสลักคีร์กีซกว่า 200 ชิ้นกระจายอยู่รอบ ๆ พิพิธภัณฑ์ทางอากาศที่มีประติมากรรมเริ่มต้นนับเป็น 93

จัตุรัส Ala Too Square สร้างขึ้นในปี 1984 เพื่อฉลองครบรอบ 60 ปีของ Kyrgyz SSR ซึ่งครั้งหนึ่งมีรูปปั้นขนาดใหญ่ของเลนินวางอยู่ตรงกลางจัตุรัส จัตุรัสแห่งนี้เป็นที่รู้จักในฐานะเลนินสแควร์ จนกระทั่งคีร์กีซสถานได้รับอิสรภาพจากสหภาพโซเวียตในปี 2534

อิสระช้อบปิ้งในตลาดท้องถิ่นของเมือง Biskek ที่มีสินค้าอันหลากหลายไม่ว่าจะเป็นผลไม้แห้งเป็นถั่วนัตหรือเป็นหัตถกรรมพื้นเมืองรวมถึงหมวกตามแบบสไตล์ของชาว nomad

17.00 น. ทัวร์คีร์กีซสถาน
เดินทางไปยังสนามบิน เพื่อกลับกรุงเทพฯ โดยสายการบิน Air Astana เที่ยวบิน KC110 (19.55-20.45 น.) แวะเปลี่ยนเครื่องที่ Almaty KC931 (01.05-8.55 น.)

Day 9 : Bangkok

08.55 น. ทัวร์คีร์กีซสถาน
ถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพและความประทับใจ

ดูรูปสวยๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่ >> https://500px.com/search?q=kyrgyzstan&type=photos&sort=relevance

tour-indonesia-borobudur-bromo-kawaijen-bali

ทัวร์อินโดนีเซีย

Day 1 : Jakarta – Yogyakarta – Borobudur – Mendut Temple

07.30 น.
นัดพบกันที่สนามบินดอนเมืองเตรียมต่อเดินทางสู่ Yogyakarta โดยสายการบิน Air Asia เที่ยวบิน AK881 เวลา 09.25 น. แวะเปลี่ยนเครื่องที่กัวลาลัมเปอร์ เวลา 12.40 น.

15.10 น. ออกเดินทางต่อโดย สายการบิน Air Asia เที่ยวบิน AK3448

16.55 น.
เดินทางถึงสนามบินYogyakarta อันเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรมาตาราม (Mataram) โบราณ ซึ่งเจริญรุ่งเรืองและมีอารยะธรรมสูง อาณาจักรนี้สร้างวิหารบุโรพุทธโธ (Borobudur) ซึ่งเป็นวัดในพุทธศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อ 300 ปีก่อนที่จะสร้างนครวัดในกัมพูชา สร้างพระธาตุอื่นๆ เช่น วัดพรัมบานัน (Prambanan) วัดราตู โบโก (Ratu Boko) และอีกหลายสิบวัดอื่นๆ กระจายอยู่ทั่วยอคยาการ์ต้า

คืนนี้พักในตัวเมือง Yogyakarta

Day 2 : Borobudur – Pawon – Surabaya

หลังอาหารเช้าพาชม มหาสถูปบุโรพุทโธ Borobudur เป็นสถูปขนาดใหญ่ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพุทธสถานที่ใหญ่ที่สุดในโลก นี้สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ไสเลนทราในชวากลาง เมื่อราวปี 778 – 856 หรือก่อนนครวัด 300 ปี และก่อนโบสถ์นอตเตรอะดามในฝรั่งเศส 200 ปี ได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลกจาก UNESCO ในปี 1991 และเนื่องจากก่อสร้างขึ้นด้วยแรงศรัทธาที่มีต่อพระพุทธเจ้า

ชม วัดทางพุทธศาสนาที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงบุโรพุทโธ คือ วัดปะวน (Pawon) แม้จะเป็นวัดขนาดเล็กแต่ก็มีศิลปะที่งดงามน่าสนใจ วัดเมนดุท (Mendut Temple) วัดเก่าแก่ สันนิษฐานว่าสร้างไล่เลี่ยกันกับบุโรพุทโธ วัดแห่งนี้ตั้งห่างจากกลุ่มวัดบุโรพุทโธ ประมาณ 3 กิโลเมตร พระอุโบสถเป็นรูปทรงสูงคล้ายเจดีย์ ด้านในมีพระประธาน 3 องค์ วัดแห่งนี้ถูกค้นพบในปี 1836 อยู่ในสภาพซากปรักหักพังจนกระทั่งได้รับการบูรณะในปี 1897 นักโบราณคดีพบว่าวัดทั้ง 3 แห่งนี้ ตั้งอยู่ในเส้นตรงเดียวกัน ทำให้เชื่อว่า Candi Mendut และ Candi Pawon คือ ส่วนหนึ่งของบุโรพุทโธ

ชม วัดพราห์มนันต์ ได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลกจาก UNESCO ในปี 1991 หมู่วิหารแห่งปรัมบานันของฮินดู ลานตรงกลางของโบราณสถานแห่งนี้มีสิ่งปลูกสร้างแปดหลัง หลังใหญ่สุดสามหลังเรียงจากเหนือจรดใต้คือ จันดี ศิวะ มหาเทวา ขนาบข้างด้วยวิหารขนาดเล็กกว่า คือ จันดี วิษณุ ทางเหนือ และ จันดีพรหมมา ทางใต้ ฝั่งตรงข้ามทางตะวันออกคือวิหารเล็ก ๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยบรรจุ พาหนะทรง ของเทพเจ้าแต่ละองค์ เช่น วัวของพระศิวะ นนที หงส์ของพระพรหม ฮัสมา และครุฑของพระวิษณุ ปัจจุบันเหลือแต่นนที ใกล้ประตูทางเหนือและใต้ของพื้นที่ส่วนกลางซึ่งมีกำแพงล้อมรอบคือวิหารราช สำนักสองหลังซึ่งมี กำแพงล้อมรอบคือวิหารราชสำนักสองหลังซึ่งมีลักษณะเหมือนกัน

15.00 น.
เดินทางสู่เมืองสุราบาย่า โดยสายการบิน Wings Air เที่ยวบินที่ IW846
***เวลาบินหรือเที่ยวบินอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล***

16.10 น.
เมื่อถึงสนามบินเดินทางต่อไปยัง หมู่บ้านเซโมโรลาวัง (Cemoro Lawang) หมู่บ้านเล็กๆ ทางตะวันออกของ ภูเขาไฟโบรโม่อันมีทัศนียภาพสวยงาม จุดหมายปลายทางของวันนี้เราจะพักกันใกล้ๆโบรโม่

พักที่ Cemoro Lawang

Day 3 : Penanjakan View Point – Bromo – Surabaya – Bali

นั่งรถจี๊ปเดินทางไปที่ยอดเขา พีนาจากัน ที่ความสูง 2700 ชมวิวพาโนรามา มีภูเขาไฟโบรโม่ ภูเขาไฟบาต๊อกตั้งอยู่เบื้องหน้า และภูเขาไฟสุเมรุ อยู่ห่างออกไป เราอาจได้เห็นสายหมอกลอยพลิ้วไหว โอบคลุมภูเขาไฟทั้งสามลูก ถ่ายรูปภูเขาไฟโบรโม่จากมุมสูง

จากนั้นนั่งรถจี๊ปลงไปที่ ภูเขาไฟโบรโม่ ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ยัง Active อยู่ ยังคงพ่นควันออกมาอยู่เรื่อยๆ ซึ่งเราสามารถเข้าไปดูได้ถึงปากปล่องเลยทีเดียว เดินเท้าเป็นระยะทาง 1 กม. ไปชมปากปล่องภูเขาไฟ

ได้เวลาอันสมควรเดินทางสู่เมือง บอนโดโวโซ (Bondawoso) จุดพักแรมสำหรับคืนนี้ คืนนี้พักผ่อนอย่างเต็มที่เต็มตัวตื่นแต่เช้าตรู่ตัวออกเดินเท้าสู่ คาวาอิเจน

Day 4 : Kawaijian – Pura Ulun Danu Bratan

ตื่นแต่มืด เตรียมตัวเดินทางไปที่ ภูเขาไฟคาวาอีเจี้ยน วันนี้เริ่มโปรแกรมแอดเวนเจอร์กันตั้งแต่ยังไม่สว่างเลยทีเดียว นั่งรถไปที่จุดเริ่มเดิน จากนั้นเราต้องเดินฝ่าความมืดขึ้นเขาเป็นระยะทาง 4 กม. ไปที่ปากปล่องคาวาอีเจี้ยน ถึงแม้ว่าจะยังไม่สว่างแต่คนงานที่มาขนกำมะถันเริ่มทำงานแล้ว จะเห็นชนพื้นเมืองแบกกำมะถันกัน 60-70 กิโล เดินสวนทางลงเขาไปเป็นระยะ เมื่อถึงปากปล่องภูเขาไฟคาวาอีเจี้ยน จะเห็นกำมะถันที่ทำปฏิกิยาและเปลี่ยนสีได้ถึง 8 สี ในวันเดียว รอเวลาฟ้าแจ้งแสงอาทิตย์สาดส่องให้ผิวน้ำในปากปล่องภูเขาไฟ กลายเป็นสีเขียวเทอค๊อยส์ ถ่ายรูปกันให้เต็มที่ จากนั้นเดินลงเขา

08.00 น.
พระอาทิตย์เริ่มสาดส่องแสงแดดร้อนแรงลงจากเขาอีเจี้ยนแล้วเดินทางต่อสู่ฝั่งตะวันออกของเกาะชวา ท่าเรือเฟอร์รี่สู่เกาะบาหลี

ชม วัดอูลันดานู บราตัน (Pura Ulun Danu Bratan) เป็นวัดที่สำคัญ 1 ใน 5 ของเกาะบาหลี ตั้งอยู่บริเวณริมทะเลสาบบราตันที่มีความสวยงามและมีมนต์ขลัง มีฉากหลังเป็นภูเขาที่สวยงามบนความสูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 1,000 เมตร สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 17 เพื่อใช้ทำพิธีกรรมทางศาสนาพุทธและฮินดู และสร้างไว้เพื่ออุทิศแด่ เทวี ดานู เทพแห่งสายน้ำท้องทะเลสาบบราตัน ลักษณะเด่นของวัดแห่งนี้จะมีศาลาซึ่งมีหลังคาทรงสูง หรือ เมรุ มุงด้วยฟางซ้อนกันถึง 11 ชั้น

คืนนี้พักที่ริมทะเลสาบ Beratan คาวาอีเจี้ยน

Day 5 : Handara Gate – Jatiluwih – Pura Ulun Danu Batur – Pura Besakih – Pura Penataran Agung

หลังอาหารเช้ารับสายหมอกยามเช้าแวะไปถ่ายรูปกันที่ Handara Gate ประตูทางเข้าที่มีลักษณะเป็นแบบบาหลีเป็นจุดเช็คอินที่พลาดไม่ได้

หมู่บ้าน จาตีลูวีห์ (Jatiluwih) ชมนาข้าวขั้นบันไดอันเขียวขจีอย่างใกล้ชิด หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านเดียวที่ปลูกปาดี บาหลีหรือข้าวพันธุ์ท้องถิ่นที่มีลำต้นยาวสวยสง่า วิวของนาข้าขั้นบันไดแห่งนี้ถือว่าเป็นวิวที่สวยที่สุดในเกาะบาหลี Jatiluwih ล้อมรอบไปด้วยบรรยากาศที่เย็นสบายเพราะตั้งอยู่ในความสูง 700 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล สัมผัสกับบรรยากาศหนาวเย็นและพาโนรามาที่สวยงามของระเบียงข้าว Jatiluwih ทางรัฐบาลอินโดนีเซีย กำลังจะเสนอชื่อให้องค์การ Unesco เพื่อขอมรดกโลก

รับประทานอาหารกลางวัน ที่จุดชมวิวภูเขาไฟบาร์ตู มีอายุกว่า50,000ปี เป็นภูเขาไฟบนเกาะบาหลี ที่ชาวบาหลีให้การสักการะบูชา นับเป็นภูเขาที่มหัศจรรย์ของโลก มีความสูง 1,717 เมตร เห็นทะเลสาบบาตูร์ ที่ใหญ่ที่สุดในบาหลี มีความยาว 7 กิโลเมตร กว้าง 2.5 กิโลเมตร ชาวบาหลีเชื่อว่าเป็นทะเลสาบที่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นที่สถิตของเทวีดานู เจ้าหญิงแห่งทะเลสาบ

ชม Pura Ulun Danu Batur วัดนี้สร้างขึ้นทั่วหมู่บูชาเทวีแห่งน้ำตามความเชื่อของศาสนาฮินดู วัดนี้จะไม่ได้อยู่แนบชิดกับน้ำเหมือนอีกวัดหนึ่ง แต่เดิมวัดนี้ตั้งแนบชิดกับภูเขาไฟ Batur แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดจึงได้ย้ายมาตั้งอยู่ ณ สถานที่ปัจจุบัน

วัดเบซากิ Pura Besakih ซึ่งด้านหลังจะเห็นภูเขาไฟ ที่สูงที่สุดในบาหลีคือ Gunung Agung ที่เป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ วัดนี้เป็นวัดที่มีความสำคัญที่สุด ในบาหลี คนบาหลี ยกให้เป็นมารดาแห่งปวงวิหาร (Mother Temple) เพราะเป็นสถานที่สวดบูชาที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของเกาะ มีบริเวณอันกว้างใหญ่ไพศาล ประกอบด้วยวัดต่าง ๆ อีก 30 วัดซึ่งมีแท่นบูชาหลายร้อย

ชม Pura Penataran Agung อันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีบันไดยาวนำสู่จันดี เบินตาห์ หรือประตูผ่าซีกที่ทำจากเห็นแกรนิตดำที่เปิดทางสู่เมรุสูง ทุกๆวันจะมีคนบาหลี เดินทางมาประกอบพิธีทางศาสนา ที่นี้ท่านสามารถเห็นธรรมเนียมประเพณี และการแต่งกายพื้นเมืองทั้งชายหญิง รวมทั้งการแบกทูนของบนศีรษะ ตามแบบดั้งเดิมด้วย

เดินทางเข้าพักใกล้ๆ Lempuyang เพื่อเตรียมตัวรับอรุณรุ่งยามเช้ากับจุดถ่ายภาพสำคัญของเกาะบาหลี

Day 6 : Lempuyang – Pura Goa Gajah – Tempak siring – Ubud

ตื่นแต่เช้า เตรียมตัวเดินทางสู่ Lempuyang หรือ Heaven Gate อันเป็นจุดเช็คอินสำคัญ จะได้ถ่ายรูปเงาสะท้อนกับประตูสวรรค์ที่ฉากหลังเป็นพระอาทิตย์บนยอดเขา และสายหมอกที่ลอยเรี่ยดิน มาแต่เช้าก่อนนักท่องเที่ยวจะแห่กันมา (ปกติอาจจะต้องรอคิว 2-3 ชั่วโมงเลยทีเดียว)

วัดถ้ำช้าง (Pura Goa Gajah) โบสถ์พราหมณ์แบบบาหลี และโบราณสถานใกล้เมืองอูบุด บนเกาะบาหลี สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นราวคริสต์ศตวรรษที่ 9 เพื่อเป็นศาสนสถาน

เทวาลัยแห่งนี้โดดเด่นจากรูปสลักหินที่มีใบหน้าถมึงทึง สันนิษฐานว่าสร้างเป็นโบมา ผู้ขับไล่สิ่งชั่วร้ายในคติบาหลี ครั้งหนึ่งเชื่อกันว่ารูปสลักหินหลักนั้นเป็นรูปช้าง จึงเป็นที่มาของชื่อเล่นว่า ปูราถ้ำช้าง

สู่เขต Tempak siring ในบริเวณนี้มีวัดที่คนไทยเรียกกันว่า วัดน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ หรือ Pura Tirta Empul ในวัดจะมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ซึ่งผุดพรายน้ำขึ้นมา ชาวบาหลีล้วนเคารพบูชาวัดนี้ด้วยเชื่อว่ากำเนิดมาจากพระอินทร์ จึงมีชาวบ้านนิยมมาอาบน้ำ เก็บน้ำไปดื่มกินเพราะเชื่อว่าน้ำจากบ่อศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้สามารถรักษาโรคต่างๆ ขับไล่สิ่งเลวร้าย และจะเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตเมื่อได้อาบหรือดื่มกิน

จากนั้นนำท่านชม นาข้าวขั้นบันไดหมู่บ้านเตกัลลาลัง หรือ Tegalalang Rice Terrace ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านเตกัลลาลัง เขต Gianyar ตอนเหนือของอูบุด เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย เป็นนาขั้นบันไดที่มีอายุยาวนานกว่า 2,000 ปี ชาวพื้นเมืองใช้เครื่องมือโบราณค่อยๆแกะสลักภูเขาทั้งลูกให้กลายเป็นคลื่นขั้นบันได

รับประทานอาหารเช้า จากนั้นเดินทางสู่จุดไฮไลท์ของโปรแกรม บาหลีสวิงค์ Bali Swing ให้ท่านได้เล่นกิจกรรมอันสนุกสนาน ท้าทายความตื่นเต้นด้วยการนั่งชิงช้าที่มีความสูงและท่านสามารถเก็บภาพระหว่างนั่งชิงช้าโดยมีฉากหลังธรรมชาติอันสวยงาม

จากนั้นให้ทุกท่านได้เดินเล่นช้อปปิ้งสินค้าพื้นเมืองตามตรอกซอกซอยเล็กๆ อุบุดนับเป็นย่านการค้าสำคัญของบาหลี

พักที่ Ubud

Day 7 : Pura Taman Ayun – Pura Tanah Lot
Pura Luhur Uluwatu – Bangkok

หลังอาหารเช้า ชม Pura Taman Ayun หมายถึง ‘สวนสวย’ ราชเทวสถานแห่งนี้ เคยใช้ในการประกอบพิธีกรรมของกษัตริย์ราชวงศ์เม็งวี ประตูวัดตั้งตระหง่านสูงใหญ่บ่งบอกถึงความรุ่งเรื่องในอดีตของราชวงศ์นี้ กำแพงก่อด้วยหินสูงแกะสลักลวดลายวิจิตรบรรจง ท่านสามารถมองเห็นเมรุ หรือเจดีย์แบบบาหลี ที่มีหลายขนาดเพื่อบูชาเทพเจ้าแต่ละองค์ ใช้การเรียงชั้นของหลังคาที่แตกต่างกันไป มีคูน้ำรอบล้อมวัดตามหลักความเชื่อว่าที่สื่อถึงแดนสุขาวดีแบบฮินดู

ชม วิหารทานาต์ลอต (Pura Tanah Lot) ที่มีชื่อเสียงที่สุดและเป็นจุดที่มีนักท่องเที่ยวถ่ายภาพมากที่สุดของเกาะบาหลี วิหารนี้ตั้งอยู่บนผาหินนอกชายฝั่งในเวิ้งอ่าว อันเกิดจากการกัดเซาะของคลื่น สิ่งที่ทำให้วัดแห่งนี้มีความพิเศษเนื่องจากเมื่อชมวิหารทานาต์ลอต ยามพระอาทิตย์ตกจะเห็นเป็นเสมือนภาพของหอคอยสีดำและไม้ช่อใบที่ปกคลุมหน้าผาชวนให้นึกถึงความอ่อนช้อยของภาพวาดจีน

เยี่ยมชมวัดอูลูวาตู Pura Luhur Uluwatu สร้างบนขอบหน้าผาที่สูงตะหง่าน ติดมหาสมุทรอินเดีย เป็นหนึ่งในวัดหลักประจำท้องทะเล ที่ชาวบาหลีแทบทุกคนเคารพบูชา ชมความสวยงามยามเมื่อคลื่นซักสาดเข้าหาฝั่ง

16.00 น. ได้เวลาอันสมควรเดินทางสู่สนามบินเดนปาซาร์เตรียมตัวเช็คอินสายการบิน Lion Air เที่ยวบิน SL259 ออกเดินทางเวลา 19.00 น

23.05 น.
เดินทางถึงกรุงเทพ โดยสวัสดิภาพ คาวาอีเจี้ยน

โปรแกรมอื่นๆ >> https://www.painaima.com/tag/indonesia/

ดูรูปภาพสวยๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่ >> https://500px.com/search?q=bromo&type=photos&sort=relevance

https://500px.com/search?q=bali&type=photos&sort=relevance

tour-nepal-city

ทัวร์เนปาล

Day 1 : Bangkok – Katmandu

09.00 น. ทัวร์เนปาล
นัดพบกันที่ท่าอากาศยานดอนเมือง ทีมงานอำนวยความสะดวกเช็คอิน สายการบิน THAI AIRWAYS เที่ยวบินที่ TG319 ออกเดินทางเวลา 10.15 บินสู่กาฐมาณฑุประเทศเนปาล

12.25 น.
ถึงสนามบินตรีภูวัน ประเทศเนปาล ผ่านการตรวจคนเข้าเมือง รับกระเป๋า แลกเงิน และเดินทางสู่ตัวเมืองกาฐมาณฑุ (ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง)

นำชม จัตุรัสภักตะปุร์ (Bhaktapur Durbar Square) ที่ตั้งของหมู่พระราชวัง วิหารและสิ่งก่อสร้างต่างๆในศิลปะสกุลช่างเนวารีแท้

พิพิธภัณฑ์ปะฏัน (Patan Museum) พิพิธภัณฑ์นี้อยู่ภายในบริเวณจัตุรัสปะฏัน ดูร์บาร์เป็นเขตพระราชทานชั้นในของพระราชวังเก่ามีชื่อเสียงทางด้านรูปปั้นทองเหลือง รวมทั้งศาสนวัตถุทั้งหลาย โดยเฉพาะพระราชบัลลังก์กษัตริย์ปะฏัน พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปเอเชียเลยทีเดียว เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.30-16.30 น. โดยจะปิดเพียง 3 วันในช่วงเทศกาลทัศอิน และปิดอีก 3 วันในช่วงเทศกาลติหาร์

ชมพระราชวัง 55 พระแกล (The Palace of 55 Windows) และสร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 18 เป็นพระราชวังที่มีหน้าต่าง 55 บานอยู่บนกำแพงอิฐ มีความโดดเด่นในด้านการแกะสลักไม้ ประตูทองคำ (Golden Gate) เป็นทางเข้านำไปสู่ลานของพระราชวัง 55 พระแกล แกะสลักเป็นลวดลายของเหล่าเทพและอสูร

วัดไนยาโตโปละ (Nyatapola Temple) เป็นมณฑปที่สูงที่สุดในเนปาล นอกจากนี้ภายในวัดยังมีวิหารหลังคา 5 ชั้นซ้อน ตามบันไดทางขึ้นทั้งสองข้างจะมีประติมากรรมเหล่าเทวดาคอยปกป้องรักษาอยู่

หมู่บ้านเครื่องปั้นดินเผา (Potters Square) ชมวิธีการปั้นเครื่องปั้นดินเผาตามแบบฉบับของคนท้องถิ่น และสามารถเลือกซื้อของที่ระลึกราคาถูกที่ทำจากดินเผาได้ในย่านนี้

ออกเดินทางสู่ นากาก็อต จุดชมวิวที่สวยงามที่สุดอีกแห่งหนึ่งของเนปาล ในวันอากาศดี เราสามารถเห็น ยอดเขาเอเวอเรสต์ได้จากที่นี่
คืนนี้พักที่ นากากอต รอคอยชมพระอาทิตย์ขึ้นหลังเอเวอเรสต์ในวันถัดไป

พักที่ Hotel Country Villa หรือเทียบเท่า

Day 2 : Nagarkot – Kathmandu Sightseeing

เดินทางกลับสู่ กาฐมาณฑุ ตั้งอยู่ที่ความสูง 1,336 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ที่นี่รวบรวมมรดกทางวัฒนธรรมของเนปาลเอาไว้มากมายจากการที่เป็นแหล่งวัฒนธรรมเนวารีโบราณ ซึ่งได้สร้างอารยธรรมที่สำคัญขึ้นบน 3 เมือง ซึ่งได้แก่ กรุงกาฐมาณฑุ ปาทัน และภักตะปุร์ อันโดดเด่นด้านฝีมือแกะรูปสลักหินและโลหะที่ละเอียดอ่อน เสาไม้แกะสลัก และโบสถ์ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์

เมืองปาทัน เมืองที่สร้างในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เมืองแห่งศิลปะและหัตถศิลป์ ผังเมืองปาทันมีรูปทรงคล้ายธรรมจักรในพุทธศาสนา แต่เมื่ออิทธิพลของศาสนาฮินดูแทรกเข้ามาพุทธศาสนาก็ค่อยๆเสื่อมลง ชาวพุทธถูกแบ่งตามชั้นวรรณะตามความเชื่อของศาสนาฮินดูและเริ่มทำพิธีกรรม จัตุรัสปาทัน ตั้งอยู่ใจกลางเมือง จัตุรัสนี้ประกอบด้วยพระราชวังโบราณ

ชม กฤษณะ มัณฑีร์ ที่สร้างด้วยหินแกรนิต และยังเป็นวัดเดียวในเนปาลที่มียอดเจดีย์ 21 ยอดที่ทำจากหินทั้งหมด วัดกุมเภสวอร์ เป็นวัดของพระศิวะ มีหลังคา 5 ชั้น

วัดทอง (Golden Temple) หรือวัดหิรัณยะวรรณะ มหาวิหาร (Hiranya Varna Mahavihan) เป็นวัดในพุทธศาสนา ลักษณะเป็นเจดีย์สูง 3 ชั้นหลังคาทำด้วยแผ่นทองเป็นเส้นยาวลงมาจรดพื้นดินซึ่งสร้างตามความเชื่อที่ว่าจะเป็นเส้นทางที่เดินไปสู่สวรรค์ นอกจากนี้วัดยังประดับตกแต่งด้วยทองเหลืองและทองแดงจนอร่ามเรือง สมกับเป็นวัดเก่าแก่นับพันปีที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองปะฏัน

ชม วัดสวะยัมภูนาถหรือวัดลิง (Swayambhunath) ภายในวัดมีสถูปที่เก่าแก่ที่สุดของเนปาลประดิษฐานอยู่ สันนิษฐานว่าน่าจะมีอายุประมาณ 2000 ปี ที่ฐานของสถูปทั้ง 4 ด้านจะมีภาพดวงตาเห็นธรรมหรือ Wisdom Eyes ของพระพุทธเจ้า จากมุมบนลานสถูป เราสามารถเห็นตัวเมืองกาฐมาณฑุ เป็นเหมือนจักรวาลเล็กๆที่โอบลอมด้วยขุนเขา เป็นป้อมปราการทางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่

กาฐมาณฑุดูร์บาร์สแควร์ (Kathmandu Durbar Square) ประกอบไปด้วยวัดและวังที่เก่าแก่ซึ่งแสดงภาพความเจริญรุ่งเรืองทางด้านศาสนาและวัฒนธรรมของชาวเนปาล เนื่องจากเป็นสถานที่ราชาภิเษกขึ้นครองราชย์ นอกจากนี้ จัตุรัสแห่งนี้ยังได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ในปี พ.ศ. 2522 อีกด้วย

พระราชวังหนุมานโดก้า (Hanuman Dhoka) เป็นอาคารทรงยุโรป สีขาว มีหอสูง 9 ชั้น เรียกกันว่า หอพสันตปุระ ในอดีตใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมของพระมหากษัตริย์

*อยู่ในระหว่างบูรณะจากแผ่นดินไหว

กาฐมณฑป (Kasthamandap) อาคารไม้เก่าแก่ที่สุด และเป็นต้นกำเนิดของชื่อเมืองกาฐมัณฑุ สร้างขึ้นในตอนต้นของศตวรรษที่ 16 จากต้นสาละเพียงต้นเดียว

*อยู่ในระหว่างบูรณะจากแผ่นดินไหว

บ้านกุมารี (Kumari House) เป็นอาคาร 3 ชั้น ทำจากไม้แกะสลัก สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พำนักของเหล่าเทพธิดา ซึ่งเป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์ที่ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกมนุษย์

กาฬไภราพ (Kala Bhairab) เป็นรูปสลักขนาดใหญ่ของพระอิศวรปางดุร้าย เชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์มาก มักจะใช้ในการตัดสินคดีความโดยจะนำคนที่พูดเท็จมาสาบานต่อหน้ารูปสลักนี้

ตะเลชู (Taleju Temple) วัดประจำองค์พระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีความเชื่อว่า เทพตะเลชู คือเทพที่ปกปักรักษาองค์พระมหากษัตริย์และประเทศเนปาล

มานโธกา (Hanuman Statue) รูปปั้นหนุมาน ตั้งอยู่หน้าทางเข้าพระราชวัง ทำหน้าที่เป็นนายทวารพิทักษ์พระราชวัง

คืนนี้พักที่ย่าน Thamel เพื่อให้ท่านได้เดินเล่นช้อปปิ้งกันอย่างจุใจ พักที่ Hotel Nepali Ghar หรือเทียบเท่า

Day 3 : Kathmandu – Bandipur

เดินทางไป บันดิปูร์ หมู่บ้านท่องเที่ยวเล็กๆ ที่มากไปด้วยเสน่ห์ของประเพณี วัฒนธรรม และวิถีความเป็นอยู่ ตั้งอยู่บนยอดเขาที่่ระดับความสูง 1030 เมตร หมู่บ้านแห่งนี้จะอยู่ห่างจากกรุงกาฐมัณฑุ ไปทางทิศตะวันตกประมาณ 143 กิโลเมตร (เดินทางประมาณ 5 ชม)

ชมหมู่บ้าน “บันดิปูร์” (Bandipur) หมู่บ้านศักดิ์สิทธิ์ของชาว ฮินดู หมู่บ้านท่องเที่ยวเล็กๆ แต่มากไปด้วยเสน่ห์ของประเพณี วัฒนธรรม และวิถีความเป็นอยู่ ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาสูงชันบันดิปูร์ แปลเป็นไทยง่ายๆก็คือเมืองบัณฑิต หรือเมืองของผู้รู้ โดยบริเวณรอบๆหมู่บ้านนั้นโดดเด่นไปด้วยทัศนียภาพที่โอบล้อมไปด้วยขุนเขาและม่านหมอก รวมไปถึงทิวทัศน์ที่สวยงามของเทือกเขาหิมาลัยที่สามารถมองเห็นจากตัวหมู่บ้านได้อย่างชัดเจน

พักที่ Bandipur Mountain Resort หรือเทียบเท่า

Day 4 : Bandipur – Pokhara

นำท่านเดินทางสู่ โพครา ระหว่างทางท่านจะได้เห็นทิวทัศน์ที่งดงามและวิถีชีวิตของชาวชนบทในประเทศเนปาลเส้นทางสายนี้มีชื่อเสียงมากในด้านความงดงามทางธรรมชาติ “หุบเขาโภครา” สูงกว่า ระดับน้ำทะเล 900 เมตร และโอบล้อมไปด้วยทิวเขาและป่าที่เขียวขจีเป็นทิวทัศน์ที่งดงามที่สุด โดยมีไฮไลท์คือ เทือกเขาอานาปุระ (Annapur na) และยอดเขาหางปลามัจฉาปูร์ชเร (Machhapuchhre) ที่สูงตระหง่านเสียดฟ้ากว่า 8,000 เมตรอย่างสวยงาม (เดินทางประมาณ 3 ชม)

ถึงเมือง โพครา เมืองชายแดนติดกับประเทศอินเดีย เป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับสองรองจากกาฐมาณฑุ ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 900 เมตร มองเห็นทิวทัศน์ที่งดงามของยอดเขา 5 ยอด มีทิวทัศน์ที่มีลักษณะพิเศษไม่เหมือนใคร อีกทั้งเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับเส้นทางพิเศษหลาย ๆ เส้นทางของนักผจญภัยและนักปีนเขา

จากนั้นเดินทางไปยัง ชุมชนผู้ลี้ภัยชาวทิเบต ที่ใหญ่ที่สุดในเนปาล

ชม น้ำตกเดวี่ น้ำตกที่ตั้งชื่อตามเด็กชายเทวีที่มาเสียชีวิตพร้อมคู่รัก น้ำตกแห่งนี้แปลกกว่าที่อื่นตรงที่ต้องชะโงกหน้าก้มลงไปดู เพราะเป็นน้ำตกที่ทิ้งตัวลงจากลำธารลงสู่ช่องเขาเบื้องล่างลึกลงไปกว่า 100 เมตร นับว่าเป็นน้ำตกที่มีความลึกมาก

ล่องเรือชมความงามของ ทะเลสาบเฟวา ที่ใสดังกระจกเงา เห็นภาพสะท้อนน้ำ ของเทือกเขาอันนาปูระนะ และยอดเขาหางปลา ที่ตั้งโดดเด่นอยู่เบื้องหน้า ตรงกลางทะเลสาบเป็นที่ตั้งของ วัดบาลาฮี วัดในศาสนาฮินดู อันเป็นที่นับถือทั่วไปของชาวเนปาล

พักที่ Hotel Da Yatra หรือเทียบเท่า

Day 5 : Pokhara – Sarangkot – Kathmandu

พาท่านไปชมสุดยอดความงามแห่งโพครา นั่นคือการได้ชมพระอาทิตย์ขึ้น ณ จุดชมวิวของ ยอดเขาสรังกอต โดยพระอาทิตย์จะขึ้นที่ขอบเทือกเขาอันนาปูระนะ ที่ตั้งขวางหน้าท่านอยู่แบบพาโนรามา แสงแดดสีทองเริ่มทาบลงบนยอดเขาหางปลา มัจฉาปูร์ชเร ซึ่งเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นวันใหม่ของชาวบ้าน จากนั้นเดินทางไปยัง ชุมชนชาวทิเบต ที่ใหญ่ที่สุดในเนปาล

12.10 น.
เหินฟ้ากลับสู่เมืองกาฐมาณฑุ โดยสายการบิน Buddha Air เที่ยวบินที่ U4602 (12.10-12.35)

อิสระชอปปิ้งย่านทาเมล แหล่งรวมร้านค้า ร้านขายของ มีสินค้าให้เลือกหลากหลายชนิด เช่น อุปกรณ์เทรคกิ้ง ผ้าพื้นเมือง ของฝาก ฯลฯ

พักที่โรงแรม Hotel Nepali Ghar หรือเทียบเท่า

Day 6 : Kathmandu – Bangkok

Option : ชมยอดเขาเอเวอร์เรสอย่างใกล้ชิดโดย Mountain Flight ที่จะพาเราไปเห็นยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกด้วยสายตาตนเอง

(ไม่รวมในรายการทัวร์ สามารถซื้อเพิ่มได้ 200 USD)

ชม Boudhanath เจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเนปาล มีความสูง 38 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 32 เมตร เจดีย์เป็นทรงโอคว่ำ มีฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยม จุดเด่นอยู่ที่ดวงตาเห็นธรรมหรือดวงตาแห่งปัญญา (Wisdom Eyes) ทั้ง 4 ด้าน ซึ่งไม่เหมือนเจดีย์องค์อื่นๆ เป็นการผสมผสานระหว่างศาสนาพุทธและฮินดู อีกหนึ่งจุดเด่น คือ ธงมนตรา 5 สีที่ชาวเนปาลเอามาแขวนไว้รอบองค์เจดีย์ (ธงมนตราเหล่านี้มักแขวนไว้ตามช่องแนวเขาและอาคารบ้านเรือน เพราะเป็นธงที่ได้รับการจารึกบทสวดมนต์และปลุกเสกแล้ว) เชื่อกันว่าเมื่อลมพัดจะช่วยให้บทสวดมนต์ที่สวดไว้คุ้มครองคนที่ผ่านมา

13.30 น.
เหินฟ้ากลับกรุงเทพ โดยสายการบิน THAI AIRWAYS เที่ยวบินที่ TG 320

18.15 น.
ถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ

ดูรีวิวทัวร์เนปาล >> https://www.painaima.com/trip-review/nepal/

ดูรูปสวยๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่ >> https://500px.com/search?q=nepal&type=photos&sort=relevance

tour-switzerland-roadtrip

ทัวร์สวิตเซอร์แลนด์ 

Day 1 : Bangkok

22.30 น.
นัดพบกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แถว D ประตู 3 ทีมงานอำนวยความสะดวกเช็คอิน สวิตเซอร์แลนด์
00.35 น. ออกเดินทางโดยสายการบิน Thai Airways เที่ยวบินที่ TG970 ใช้เวลาเดินทางประมาณ 12 ชม.

Day 2 : Zurich – Rhine fall – Stein Am Rhine – St. Gallen Ebenalp

06.55 น.
เดินทางถึง เมืองซูริค เมืองหลวงของสวิตเซอร์แลนด์ ผ่านการตรวจคนเข้าเมือง

ชมน้ำตก Rhine fall น้ำตกที่ใหญ่และสวยที่สุดในยุโรป น้ำสีเขียวมรกตใสไหลอย่างเชี่ยวกราดทำให้เกิดฟองขาวแตกกระเซ็นยามกระทบกับแก่งหิน ละอองน้ำที่กระจายปกคลุมไปทั่ว เกิดภาพที่งดงามจับใจ สูดอากาศบริสุทธิ์ และสัมผัสต้นไม้ใหญ่เรียงรายทั่วบริเวณ

เดินทางสู่ เมือง Stein Am Rhine (ระยะทาง 22 กม.) เป็นเมืองโบราณเล็กๆมีแม่น้ำไรน์ไหลผ่านกลางเมืองและมีถนนสายหลักเพียงสายเดียวอาคารบ้านเรือนปลูกสร้างมาแต่โบราณ โดยบางบ้านจะมีมุขหน้าต่างยื่นออกมา ผนังนอกบ้านมีการวาดภาพสีน้ำปูนเปียก fresco บอกเล่าเรื่องราวต่างๆเอาไว้

ออกเดินทางสู่เมือง St. Gallen เป็นอีกเมืองหนึ่งในประเทศสวิสต์เซอร์แลนด์ที่องค์การยูเนสโกยกย่องให้เป็นเมืองมรดกโลก นอกจากนี้ยังถือว่าเป็นเมืองศูนย์กลางของศาสนาอีกด้วย

ชมเมือง Appenzell เมืองในนิยายของชาวสวิสฯ ตั้งอยู่ในหุบเขา อีเบนนาลพ์ (Ebenalp) เป็นเมืองที่รายล้อมด้วยเทือกเขาแอลป์กับทุ่งหญ้าที่เขียวขจีผสมกับสีสันของดอกหญ้าหลากสี

พักที่เมือง Appenzell

Day 3 : Chur Glazier Express – Bettmerralp – Tasch – Zermatt

นำท่านเดินทางไปยังเมือง Chur โดยขบวนรถไฟกราเซียร์ เอกซ์เพรส (Glacier Express) ซึ่งเป็นรถไฟขบวนพิเศษ แบบพาโนรามาวิว ตลอดเส้นทางจะได้สัมผัสกับภูมิประเทศภูเขาหิมะอย่างเต็มอิ่ม

นำท่านเดินทางสู่ Fiesch (Bettmeralp) นั่งกระเช้าเคเบิ้ลคาร์ เพื่อขึ้นสู่จุดชมวิวยอดเขา แองกิสฮอร์น (Eggishorn) ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นความงามของธารน้ำแข็ง อเลิท์ซ กลาเซียร์ (ALETSCH GLACIER)

เดินทางเข้าพักที่เมือง Zermatt

Day 4 : Zermatt – Gornergrat – Vevey – Montreux

นำชมเมืองเซอร์แมท (ZERMATT) เมืองตากอากาศที่สวยงามดุจสวรรค์บนดิน ซึ่งสงวนสถานที่ไว้ให้มีแต่อากาศบริสุทธิ์ เดินทางถึง เมืองเซอร์แมท ***ไม่สามารถนำรถเข้าได้***

ขึ้นรถรางสายพิเศษ พิชิตยอดเขา Gornergrat ผ่านธรรมชาติทิวทัศน์อันยิ่งใหญ่สวยงามทั้งสองข้างทางสู่ยอดเขากอร์เนอร์กรัท (หรือยอดเขาทรอบโบโลน) อันเป็นหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญของ สวิตเซอร์แลนด์ที่ใครๆก็จำได้

แวะบ้านชาร์ลี แชปลิน ที่ Vevey เมืองเล็กที่อยู่ระหว่างมองเทรอซ์กับโลซานน์ เป็นรู้จักกันดีในชื่อเมืองของ Charlie Chaplin พร้อมทั้งลัดเลาะสู่ไร่องุ่นริมทะเลสาบ

ปราสาท chillon castle นับว่าเป็นปราสาทยุคกลางที่มีความเก่าแก่กว่า 1,000 ปี โดยปราสาทถูกสร้างขึ้นในช่วงสมัยราชวงศ์ SAVOY สร้างขึ้นมาเพื่อคอยเก็บค่าผ่านทาง และเรื่องราวของคุกที่เคยขังฟรังซัวส์ โบนิวาร์ด ที่เป็นนักบวชและนักการเมือง โดยเขาเรียกร้องให้ประชาชนลุกขึ้นมาต่อสู้ให้เจนีวาเป็นอิสระจากซาวอย

พักที่ Montreux ทัวร์สวิตเซอร์แลนด์

Day 5 : Bern – Niesen – Interlaken – Grindelwald First

เดินทางผ่านเมือง Bern (ระยะทาง 85 กม.) เป็นเมืองที่เก่าแก่มีความสวยงามและสมบูรณ์ สร้างขึ้นบนเนินเขา ล้อมรอบด้วยแม่น้ำ บ้านเรือนมีสีสันสดใสและให้บรรยากาศบ้านเมืองแบบยุโรปโบราณ

ชมตัวเมืองเก่าที่อาคารบ้านเรือนยังได้รับการดูแลรักษาไว้เป็นอย่างดีเหมือนเมื่อหลายร้อยปีก่อนจนองค์การยูเนสโก้ประกาศให้เป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรม ถ่ายรูปกับอาคารรัฐสภาของประเทศ และหอนาฬิกาประจำเมือง

ชึ้นจุดชมวิว เพื่อชมยอดเขา Niesen ที่ได้ชื่อว่าปิรามิด แห่ง สวิตเซอร์แลนด์ นำท่านนั่งรถรางเพื่อขึ้นไปชมเขา Niesen

นำท่านชมทะเลสาบสีฟ้าเบลาเซ (Blausee) ทะเลสาบขนาดย่อม เป็นแหล่งท่องเที่ยวและสถานที่เพาะพันธุ์ปลาเทราต์ที่มีชื่อเสียงและมีความเด่นดังในเรื่องสีของน้ำในทะเลสาบ

ได้เวลาสมควร พาเดินทาง สู่ Interlaken เมืองตากอากาศแสนสวยงาม เราจะขับรถขึ้นรถไฟเพื่อลอดอุโมงค์ที่เจาะทะลุภูเขา กว่า 15 กิโลเมตร เผื่อไปยั่งอีกฝั่งหนึ่ง

Day 6 : Grindelwald First

เดินทางสู่ กรินเดอร์วาล เฟียร์ต Grindelwald First (ระยะทาง 30 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง) จุดเริ่มต้นของเส้นทางที่เรียกว่าเป็นหนึ่งในเส้นทางที่สวยที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ ขึ้นกระเช้ากองโดล่า สู่ด้านบน ที่ความสูงระดับ 2,168 เมตร พระเอกแห่งเขาด้านกิจกรรมที่สนุกสนานตื่นเต้น โดยใช้เวลาโดยสารกระเช้าเพียง 25 นาที สู่ยอดเขา

เดินเลียบหน้าผาเฟียสต์ (First Cliff Walk by Tissot) ที่เลาะริมหน้าผาสูงชมทัศนียภาพตะการตาของไอเกอร์ จนเดินสู่บริเวณจุดชมวิวพาโนราม่า โดยทิสโซต์ (Tissot) จุดชมวิวที่ให้ท่านได้พบสุดยอดทัศนียภาพพาโนราม่า บนระเบียงชมวิวที่ยื่นออกไปสัมผัสธรรมชาติ ความยาวถึง 45 เมตร

ชมทะเลสาบ Bachalpsee ทะเลสาบบนยอดเขา อิสระรอบๆทะเลสาบ ถ่ายภาพสวยๆ ของยอดเขา First ที่มีท้องฟ้าสีสดใสเป็น Background

จนได้เวลาเดินกลับสู่สถานี Cable Car กลับสู่ เมือง Grindelwald อันได้ชื่อว่าเป็นเมืองสกีรีสอร์ทที่สวยที่สุดในโลกตั้งอยู่ในหุบเขารายล้อมด้วยภูเขาที่สวยงามเป็นสถานที่โรแมนติกที่สุด เมืองเล็กๆท่ามกลางโอบกอดของเทือกเขาแอลป์ที่แสนโรแมนติก และเมืองแห่งนี้จะหนาแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมายในช่วงฤดูหนาว เนื่องจากกรินเดลวาลนั้นเป็นเมืองแห่งรีสอร์ทกีฬาฤดูหนาวที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของสวิตเซอร์แลนด์ และเดินทางเข้าสู่เมืองอินเทอลาเก้น (Interlaken)

พักที่ Interlaken สวิตเซอร์แลนด์

Day 7 : Interlaken – Jungfraujoch – Murren

นั่งรถไฟท่องเที่ยวธรรมชาติขึ้นพิชิตยอดเขาจุงเฟราที่มีความสูงกว่าระดับนํ้าทะเลถึง 11,333 ฟุตหรือ 3,454 เมตร ชมธารน้ำแข็งขนาดใหญ่จนถึงสถานี Jungfraujoch สถานีรถไฟที่อยู่สูงที่สุดในยุโรป (Top of Europe) เข้าชมถํ้านํ้าแข็ง (Ice Palace) ที่แกะสลักให้สวยงาม อยู่ใต้ธารนํ้าแข็งลึกถึง 30 เมตร

ชมวิวที่ Sphinx Terrace จุดชมวิวที่สูงที่สุดในยุโรป ที่ระดับความสูงถึง 3,571 เมตร สามารถมองเห็นได้กว้างถึงชายแดนสวิตเซอร์แลนด์

เดินทางสู่ เมือง Murren เมืองเล็กๆน่ารักๆ ที่ตั้งอยู่ระหว่างทางสู่ยอดเขา Junfrau เดินเล่นชมเมือง ใช้ชีวิต Slow life สบายๆในวันที่สวยงามที่สุดแห่งปีของคุณ

พักที่ Interlaken สวิตเซอร์แลนด์

Day 8 : Interlaken – Lucerne – Zurich

เดินทางสู่เมือง Lucerne เมืองท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับหนึ่งของสวิตเซอร์แลนด์ ที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยทะเลสาบและขุนเขา

ชมสิงโตหินแกะสลัก Dying Lion of Lucerne ที่แกะสลักบนผาหินธรรมชาติ เพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกถึงการสละชีพอย่างกล้าหาญของทหารสวิสที่เกิดจากการปฏิวัติในฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ศ.1792

สะพานไม้ Chapel Bridge ซึ่งมีความยาวถึง 204 เมตร ทอดข้ามผ่านแม่น้ำรอยส์ (Reuss River) อันงดงามซึ่งเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเมืองลูเซิร์น เป็นสะพานไม้ที่มีหลังคาที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรป สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1333 โดยใต้หลังคาคลุมสะพานมีภาพวาดประวัติศาสตร์ของชาวสวิส ตลอดแนวสะพาน
เดินทางไปยังเมือง Zurich

พักที่ Zurich สวิตเซอร์แลนด์

Day 9 : Zurich – Bangkok

นำท่านไปช้อปปิ้งย่านถนนบาห์นฮอฟ (Bahnhofstrasse) เป็นถนนสายช้อปปิ้งหลักของเมืองซูริค ตัดจากอนุสาวรีย์หน้าสถานีรถไฟตรงไปยังทะเลสาบ มีร้านค้าชั้นนำมากมาย อิสระช้อปปิ้ง ตามอัธยาศัย สวิตเซอร์แลนด์

จากนั้นเตรียมตัวเดินทางสู่สนามบิน เพื่อเชคอิน สายการบินสายการบิน Thai Airways 13.15 น.
ออกเดินทางกลับสู่กรุงเทพ โดยสายการบิน Thai Airways เที่ยวบินที่ TG971

Day 10 : Bangkok

06.10 น.
ถึงกรุงเทพ โดยสวัสดิภาพ

โปรแกรมอื่นๆ >> https://www.painaima.com/tag/german/

ดูรูปภาพสวยๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่ >> https://500px.com/search?q=switzerland&type=photos&sort=relevance

tour-india-darjeeling

ทัวร์อินเดีย 2563

Day 1 : Bangkok

23.30 น.
นัดพบกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทีมงานอำนวยความสะดวกเช็คอินสายการบิน INDIGO (6E) เที่ยวบินที่ 6E78 ออกเดินทางเวลา 02.05 น. บินสู่เมืองโกลกัตต้า ประเทศอินเดีย

Day 2 : Bangkok – Kolkata – Bagdogra – Gangtok

03.20 น.
คณะเดินทางถึงสนามบิน NETAJI SUBHAS CHANDRA BOSE INTERNATIONAL AIRPORT เมืองโกลกัตต้า หลังจากเสร็จพิธีการตรวจคนเข้าเมือง และตรวจเช็คกระเป๋าเดินทางและสัมภาระเรียบร้อยแล้ว นำท่านต่อเครื่องไปยังเมืองบักโดกรา

10.45 น.
คณะเดินทางออกจากเมืองโกลกัตต้า สู่เมืองบักโดกราโดยสายการบิน INDIGO (6E) เที่ยวบินที่ 6E797

11.55 น. ถึงสนามบินบักโดกรา ดาร์จีลิง

จากนั้นออกเดินทางสู่ เมืองกังต๊อก เมืองหลวงประจำเมืองสิกขิม สูงเหนือระดับน้ำทะเล 1,780 เมตร เป็นชุมชนโบราณที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของอาณาจักร

พักที่ Hotel Dew Pond หรือเทียบเท่า ดาร์จีลิง 

Day 3 : Gangtok – Lachung

ออกเดินทางสู่ สิกขิมเหนือ เมืองแห่งขุนเขา หิมะและดอกไม้ เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาหิมาลัย

จากนั้นเดินทางต่อ ระหว่างทางแวะชมวิว Singhik ที่เป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุดในสิกขิม ซึ่งเขาคังเชงจุงก้า ยอดเขาสูงเป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากเอเวอร์เรสต์ และ K2 จากนั้นเดินทางต่อสู่หมู่บ้านเล็กๆ ป่าเขียวชะอุ่มและน้ำตกที่สวยงาม

พัก ดื่มชาที่ชุงถัง ก่อนออกเดินทางต่อจนถึงเมืองลาชุง เมืองนี้จะอยู่ใกล้ชายแดนอินเดีย – ทิเบต

เมืองลาชุง (Lachung) ในอดีตเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างสิกขิมและทิเบต ที่นี่มีหุบเขายุมถัง หรือสวิตเซอร์แลนด์แห่งดินแดนตะวันออกและวัดลาชุง มีอาณาเขตติดต่อกับจีน คำว่าลาชุง แปลว่า ภูเขาขนาดเล็ก

พักที่ Snow Lion Mountain Resort หรือเทียบเท่า

Day 4 : Lachung – Yumthang – Zero Point – Lachung – Gangtok

เดินทางไปยัง หุบเขายุมถัง (Yumthang Valley) เป็นหุบเขาตั้งอยู่บนความสูงประมาณ 4,200 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล

ระหว่างการเดินทางผ่านชมความงดงามของธรรมชาติ ชมยอดเขาสูงหลายยอดพุ่งเสียดสูงสู่ท้องฟ้า ภูเขาปกคลุมไปด้วยความเขียวชะอุ่มของต้นไม้และพฤกษานานาพรรณ ผ่าน เขตอนุรักษ์ ชิงบาโดโดเดนดรอน ประกาศจัดตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1984 ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 43 ตร.กม. จากนั้นผ่าน ยุเมซัมตง หุบเขาอีกแห่งทางตอนบน จะเต็มไปด้วยสีสันของดอกไม้นานาพรรณ (ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ระหว่างเมษายน-พฤษภาคม) จนได้รับสมญานามว่า “ภูเขาแห่งดอกไม้”

พักที่ Hotel Tibet หรือเทียบเท่า

Day 5 : Gangtok – Changu Lake

เดินทางไป “ทะเลสาบฉางโก” หรือ Changu lake สูงประมาณ 3,753 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เป็นต้นน้ำของแม่น้ำลาชุงชู แม่น้ำ 1 ใน 2 สายหลักของสิกขิม ที่ไหลรวมกับแม่น้ำรังโปทางตอนใต้ของสิกขิม ชื่อของทะเลสาบฉางโกนี้เดิมสะกดว่า “Changu” เป็นภาษาภูฏาน แปลว่า แหล่งกำเนิดทะเลสาบ ซึ่งชาวท้องถิ่นเชื่อว่าเป็นทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ จึงให้ความเคารพนับถือมาก

จากนั้นเดินทางกลับ เมืองกังต๊อก อิสระให้ท่านช้อปปิ้ง เลือกซื้อสินค้าที่ระลึกจากเมืองมากมายที่ตลาดกังต๊อก

คืนนี้เราจะพักกันที่ Hotel Tibet หรือเทียบเท่า

Day 6 : Gangtok – Rumtek Monastery – Darjeeling

วัดรุมเต็ก (Rumtek Monastery) หรือ ศูนย์ธรรมจักร (Dharmachakra Centre) เป็นสถานที่ศึกษาและปฏิบัติธรรม เป็นวัดศาสนาพุทธที่ใหญ่ที่สุดในสิกขิม ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง 1,550 เมตร ห่างจากกังต๊อก 24 กิโลเมตร วัดรุมเต็กเดิมเคยเป็นวัดหลักของนิกายกากยู (Kagyu) สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 โดย การ์มาปา วังชุก ดอร์เจ ที่ 9 สำหรับใช้เป็นที่พำนักอาศัยของผู้สืบเชื้อสาย Karma ในสิกขิม เมื่อตัววัดถูกทำลายลง พื้นที่จึงปล่อยทิ้งร้างไป จวบจนกระทั่งพระสังฆราชการ์มาปาที่ 16 ซึ่งเป็นชาวทิเบต ได้ลี้ภัยมายังสิกขิมในปี ค.ศ. 1959 เนื่องจากกองทัพจีนบุกไปยึดทิเบต

ชม สถูปทอง (Golden Stupa) สถูปแห่งนี้มีความสำคัญ เพราะเป็นที่ประดิษฐานพระธาตุล้ำค่าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากร่างของพระสังฆราช “เกลวา การ์มาปา ที่ 16” ปกติใช้ประกอบพิธีบูชาผู้สืบเชื้อสายมาจากพระสังฆราชของพวกเขา เริ่มขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ค.ศ. 1982

จากนั้น เดินทางต่อไปยัง เมืองดาร์จีลิง (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง) ระหว่างทางแวะไร่ชา ถึงเมืองดาร์จีลิ่ง เมืองที่อยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเล 2,134 เมตร เมืองพักตากอากาศของชาวอังกฤษที่อยู่บนภูเขาได้อย่างสวยงามจนได้รับฉายาว่าเป็น เมืองราชินีแห่งภูเขา มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานและเป็นเมืองที่มีใบชาที่ดีที่สุดในโลก เป็นชาที่มีกลิ่นหอมละมุน ซึ่งตลอดเส้นทางท่านจะได้เห็นไร่ชาที่เขียวชะอุ่มอย่างสวยงาม

คืนนี้เราจะพักกันที่ Hotel White Yak หรือเทียบเท่า

Day 7 : Darjeeling

นำท่านเดินทางสู่ ไทเกอร์ฮิล จุดชมวิวยอดเขาคันชังจังก้า สัมผัสอากาศที่หนาวเย็นและบริสุทธิ์บนยอดเขา ชม “พระอาทิตย์ขึ้นที่ไทเกอร์ฮิล” ชมเทือกยอดเขาหิมาลัยที่สูงเสียดฟ้า โดยเฉพาะยอดเขาคันชังจุงก้า ที่สูง 8,598 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ที่ถือว่ามีความสูงอยู่ในอันดับ 3 ของโลก และสูงที่สุดในแถบเทือกเขาหิมาลัยในด้านอินเดีย

จากนั้นนำท่านชม วัดกูม ซึ่งเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดและมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของดาร์จีลิ่ง สร้างในปี ค.ศ.1850 โดยลามะ ชาร์ลาป ยัคโช เป็นวัดในนิกายหมวกเหลือง

นั่งรถไฟ TOY TRAIN รถไฟหัวรถจักรไอน้ำ ขนาดเล็ก เป็นรถไฟที่วิ่งบนภูเขาสูงจากระดับน้ำทะเล 4,000 ฟุต

ชม บาตาเซีย เป็นอนุสาวรีย์ที่สร้างเพื่อเป็นเกียรติแก่เหล่าทหารกล้ากุรข่า สร้างเมื่อปี 1994 และยังใช้เป็นที่กลับรถไฟ TOY TRAIN 360 องศา และ จอดให้ชมพิพิธภัณฑ์รถไฟ (การนั่งรถไฟ TOY TRAN ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง)

เที่ยวชม สถาบันการปีนเขาหิมาลัย ภายในพิพิธภัณฑ์ท่านจะได้ชมประวัติส่วนตัวและอุปกรณ์ต่างๆ ในการปีนเขา

ชม สวนสัตว์ปมาจาร์ นัยดรู ที่นี่ท่านจะได้ชมสัตว์ที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่สูงอาทิ ยัค หมีดำหิมาลัย หมีแพนด้า เสือไซบีเรีย นก เหยี่ยวและสัตว์อื่นๆอีกมากมาย

จากนั้นนำท่านช้อปปิ้งที่ ตลาดพื้นเมืองชอร์รัสต้า แหล่งช้อปปิ้งที่มีชื่อเสียงของเมืองดาร์จีลิ่ง

คืนนี้เราจะพักกันที่ Hotel White Yak หรือเทียบเท่า

Day 8 : Darjeeling – Bagdogra – Bangkok

นำท่านเดินทางสู่เมืองสิริกูรี (ประมาณ 3 ชั่วโมง) นำท่านเดินทางไปยังสนามบินภายในประเทศเพื่อเดินทางสู่บัคโดกร้า

14.55 น. บินจากเมืองบักโดกร้า สู่โกลกัตต้า INDIGO (6E) เปลี่ยนเครื่องที่เดลี เป็น INDIGO (6E77) เวลา 18.55 น.

23.15 น.
เดินทางกลับถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ

โปรแกรมอื่นๆ >> https://www.painaima.com/tag/india/

ดูรูปภาพสวยๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่ >> https://500px.com/search?q=darjeeling&type=photos&sort=relevance